โดย...ไพรัตน์ แย้มโกสุม
นักปราชญ์ตะวันตกท่านหนึ่งกล่าวว่า “ครูไม่มีไม้เรียว ก็เหมือนทหารไม่มีปืน แต่ใครเล่าเป็นศัตรู?” การใช้ไม้เรียวหรือการลงโทษผู้ทำผิดอย่างมีเหตุผล พอเหมาะพอควร ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็จะสมพงษ์กับคติโบราณไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”
วันหนึ่ง ครูคนหนึ่งสั่งนักเรียนเอาไม้เรียวมาคนละ 2 อัน สร้างความตกอกตกใจทั้งนักเรียน ครู และผู้ปกครองไม่น้อยทีเดียว ครูคนนั้นถูกวิพากษ์ว่า “โบราณจัง”
วันต่อมาถึงเวลาสอน ครูชูไม้เรียวขึ้น 1 อัน (ครูก็เตรียมมาด้วย 2 อัน) บอกให้นักเรียนทำตาม ครูหักไม้เรียวออกเป็น 2 ท่อนแล้ววางลง นักเรียนทำตาม จากนั้นครูนำไม้เรียวที่เหลือ 1 อันมาวางที่โต๊ะหน้าชั้นเรียน แล้วให้นักเรียนนำไม้เรียวที่เหลือมาวางรวมกันกับครู ช่วยกันมัดเป็นมัดเดียวกัน ครูเริ่มหักมัดไม้เรียวเป็นคนแรก หักอย่างไรก็หักไม่ได้ จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนมาทดลองหักด้วยตนเอง ไม่มีใครสามารถหักมัดไม้เรียวได้สักคน ลองให้รวมกัน 2-3 คนก็ยังหักไม่ได้
ครูให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น นี่คืออะไร นักเรียนออกความเห็นต่างๆ นานา สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า...นี่คือความรัก นี่คือความพร้อมเพรียงกัน นี่คือความปรองดองกัน นี่คือความสามัคคี...
“สามัคคีคือพลัง” สามารถป้องกันตัวได้ สามารถเอาชนะนานาศัตรูได้
เป็นการเรียนรู้แบบสัมผัส หรือมีประสบการณ์ด้วยตนเอง เป็นการสอนคนที่พิเศษกว่า (เฉพาะ) การสอนหนังสือ
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นของศิษย์ ครู (ที่ถูกเมาท์ว่าหัวโบราณ) คนเดิม ได้ฉายวิดีโอสารคดีเกี่ยวกับสัตว์โลกให้ศิษย์ดู เป็นเรื่องของเสือไล่ล่าฝูงควาย ควายเป็นเหยื่ออันโอชะของเสือหิว ล่าง่ายเพราะควายแต่ละตัวต่างเอาตัวรอด เวลามีภัยมาถึงตัวต่างวิ่งหนี ไม่เคยคิดสู้เลย นี่คือจุดอ่อนของควายที่เสือรู้จักดี วันหนึ่งมีควายกบฏตัวหนึ่ง ฉุกคิดว่า หากปล่อยให้เสือเหิมเกริมเช่นนี้ต่อไป เผ่าควายอย่างเราคงหมดฝูงแน่ๆ ชวนเพื่อนควายลุกขึ้นสู้ก็ไม่มีตัวใดเอาด้วย จึงสวมวิญญาณคนขอสู้คนเดียว ในที่สุดก็ตายเดี่ยวในเขี้ยวเล็บของเสือ การตายของกบฏแรกไม่สูญเปล่า เพราะมีกบฏเกิดขึ้นอีกเกือบครึ่งฝูง พอเสือลุแก่อำนาจไล่ล่า บรรดาควายผู้กล้าก็หันหน้าเข้าตันตู ทั้งขวิดทั้งกระทืบ ในที่สุดเสือผยองก็สิ้นลายด้วยฝ่าตีนของควายกล้า
นี่คือควายจริง แม้จะเคยถูกจูงจมูก แต่รู้จักเปลี่ยนแปลงจากกลัวเป็นกล้า จากโง่เป็นฉลาด จากเฉยเอาตัวรอดเฉพาะตน เป็นสามัคคีมีพลังลุกขึ้นสู้จนศัตรูร้ายสิ้นลาย
เรื่องไม้เรียวก็ดี เรื่องควายกล้าก็ดี ไม่ใช่เรื่องคัดค้านหรือส่งเสริม แต่เป็นเรื่องสัจจะความจริงที่อิงอาศัย หรือเนื่องกันอยู่ในทุกเรื่อง
โดยเฉพาะ “สถานการณ์ปัจจุบัน” ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง “มวลมหาประชาชนกับระบอบทักษิณ” หรือ “ผู้รักชาติกับผู้ขายชาติ” (หรือเปล่า)
บทเรียนบทนี้ไม่มีในตำรา แต่กำลังเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้คู่แผ่นดิน
ครูอาจารย์ไม่ใช่เฉพาะสาขาสังคมศึกษา หรือสังคมศาสตร์ แต่ทุกสาขาวิชาจะต้องนำบทเรียนนี้ไปสอนให้ศิษย์รับรู้ ซึมซับ เข้าใจ เข้าถึงโดยตรง หรือบูรณาการก็แล้วแต่ ถ้าพลาดแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับว่าเสียชาติเกิดที่เป็นครูบาอาจารย์ อายประชาชนที่ไม่ได้เป็นครู (กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน) แต่เป็นนักรบแห่งมวลมหาประชาชนที่กล้าสู้ กล้าเสียสละ กล้าอดทน อยู่นอนกับดิน กินกลางถนนจากวันเป็นเดือน (ถ้าไม่จบง่ายอาจเป็นปี)
การเดินขบวนหรือการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธเพื่อขับไล่รัฐบาลหรือผู้ปกครองที่ประพฤติมิชอบ ทำความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม แก่สังคมประเทศชาติ เป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นความถูกต้องตามหลักธรรมชาติอยู่แล้ว
จอห์น ล็อก นักปรัชญาชาวอังกฤษ กล่าวว่า... “ประชาชนมีสิทธิทำการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในเมื่อรัฐบาลนั้นใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง การที่ประชาชนมีสิทธิเช่นนี้ จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะไม่กล้าใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยไม่ฟังเสียงประชาชน”
นี่คือหลักการปกครอง ที่ผู้ปกครองพึงสำเหนียก
โดนใจ ป้ายเวทีของ คปท.(เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย) เขียนว่า... “คปท.ปฏิรูปประเทศไทย ด้วยอำนาจอธิปไตยของประชาชน” และป้ายเวทีของ กปท.(กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ)
ชัดเจนเหมือนน้ำใสมองเห็นสิ่งใต้น้ำ ปู ปลา ฝาหอยได้กระจ่างแล้ว
แน่นอน ก่อนจะปฏิรูปประเทศไทยได้นั้น จะต้องขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากชนิดถอนรากถอนโคนให้ได้เสียก่อน ซึ่งมวลมหาประชาชนผู้รักชาติกำลังทำอยู่ในกรอบของกฎหมาย มวลมหาประชาชนประกอบด้วยผู้คนทุกหมู่เหล่า จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน จากหนึ่งล้านเป็นหลายๆ ล้าน นับเป็นประวัติศาสตร์ของโลกทีเดียวที่ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลมีผู้ชุมนุมมากที่สุดในโลก
นี่คือ.....สามัคคีคือพลัง
พลังคืออำนาจ
อำนาจดีสร้างสรรค์
อำนาจชั่วทำลาย
ฝ่ายไหนอำนาจดีสร้างสรรค์ ฝ่ายไหนอำนาจชั่วทำลาย ไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่แล้ว และยิ่งไม่จำเป็นต้องถาม ฝ่ายไหนจะชนะ
“ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ไม่มีสิ่งใดที่จะฝืนอมตะสัจธรรมนี้ได้ ขอเพียงแต่เราต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า...
เรารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ใช่ไหม?
เราเป็นส่วนหนึ่งของมวลมหาประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ใช่ไหม?
ถ้าใช่...เราก็เป็นหนึ่งพลังร่วมหลอมรวมขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ ในสถานการณ์กู้ชาติอย่าง “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”
นักปราชญ์ตะวันตกท่านหนึ่งกล่าวว่า “ครูไม่มีไม้เรียว ก็เหมือนทหารไม่มีปืน แต่ใครเล่าเป็นศัตรู?” การใช้ไม้เรียวหรือการลงโทษผู้ทำผิดอย่างมีเหตุผล พอเหมาะพอควร ไม่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ก็จะสมพงษ์กับคติโบราณไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”
วันหนึ่ง ครูคนหนึ่งสั่งนักเรียนเอาไม้เรียวมาคนละ 2 อัน สร้างความตกอกตกใจทั้งนักเรียน ครู และผู้ปกครองไม่น้อยทีเดียว ครูคนนั้นถูกวิพากษ์ว่า “โบราณจัง”
วันต่อมาถึงเวลาสอน ครูชูไม้เรียวขึ้น 1 อัน (ครูก็เตรียมมาด้วย 2 อัน) บอกให้นักเรียนทำตาม ครูหักไม้เรียวออกเป็น 2 ท่อนแล้ววางลง นักเรียนทำตาม จากนั้นครูนำไม้เรียวที่เหลือ 1 อันมาวางที่โต๊ะหน้าชั้นเรียน แล้วให้นักเรียนนำไม้เรียวที่เหลือมาวางรวมกันกับครู ช่วยกันมัดเป็นมัดเดียวกัน ครูเริ่มหักมัดไม้เรียวเป็นคนแรก หักอย่างไรก็หักไม่ได้ จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนมาทดลองหักด้วยตนเอง ไม่มีใครสามารถหักมัดไม้เรียวได้สักคน ลองให้รวมกัน 2-3 คนก็ยังหักไม่ได้
ครูให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น นี่คืออะไร นักเรียนออกความเห็นต่างๆ นานา สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า...นี่คือความรัก นี่คือความพร้อมเพรียงกัน นี่คือความปรองดองกัน นี่คือความสามัคคี...
“สามัคคีคือพลัง” สามารถป้องกันตัวได้ สามารถเอาชนะนานาศัตรูได้
เป็นการเรียนรู้แบบสัมผัส หรือมีประสบการณ์ด้วยตนเอง เป็นการสอนคนที่พิเศษกว่า (เฉพาะ) การสอนหนังสือ
เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้นของศิษย์ ครู (ที่ถูกเมาท์ว่าหัวโบราณ) คนเดิม ได้ฉายวิดีโอสารคดีเกี่ยวกับสัตว์โลกให้ศิษย์ดู เป็นเรื่องของเสือไล่ล่าฝูงควาย ควายเป็นเหยื่ออันโอชะของเสือหิว ล่าง่ายเพราะควายแต่ละตัวต่างเอาตัวรอด เวลามีภัยมาถึงตัวต่างวิ่งหนี ไม่เคยคิดสู้เลย นี่คือจุดอ่อนของควายที่เสือรู้จักดี วันหนึ่งมีควายกบฏตัวหนึ่ง ฉุกคิดว่า หากปล่อยให้เสือเหิมเกริมเช่นนี้ต่อไป เผ่าควายอย่างเราคงหมดฝูงแน่ๆ ชวนเพื่อนควายลุกขึ้นสู้ก็ไม่มีตัวใดเอาด้วย จึงสวมวิญญาณคนขอสู้คนเดียว ในที่สุดก็ตายเดี่ยวในเขี้ยวเล็บของเสือ การตายของกบฏแรกไม่สูญเปล่า เพราะมีกบฏเกิดขึ้นอีกเกือบครึ่งฝูง พอเสือลุแก่อำนาจไล่ล่า บรรดาควายผู้กล้าก็หันหน้าเข้าตันตู ทั้งขวิดทั้งกระทืบ ในที่สุดเสือผยองก็สิ้นลายด้วยฝ่าตีนของควายกล้า
นี่คือควายจริง แม้จะเคยถูกจูงจมูก แต่รู้จักเปลี่ยนแปลงจากกลัวเป็นกล้า จากโง่เป็นฉลาด จากเฉยเอาตัวรอดเฉพาะตน เป็นสามัคคีมีพลังลุกขึ้นสู้จนศัตรูร้ายสิ้นลาย
เรื่องไม้เรียวก็ดี เรื่องควายกล้าก็ดี ไม่ใช่เรื่องคัดค้านหรือส่งเสริม แต่เป็นเรื่องสัจจะความจริงที่อิงอาศัย หรือเนื่องกันอยู่ในทุกเรื่อง
โดยเฉพาะ “สถานการณ์ปัจจุบัน” ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง “มวลมหาประชาชนกับระบอบทักษิณ” หรือ “ผู้รักชาติกับผู้ขายชาติ” (หรือเปล่า)
บทเรียนบทนี้ไม่มีในตำรา แต่กำลังเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้คู่แผ่นดิน
ครูอาจารย์ไม่ใช่เฉพาะสาขาสังคมศึกษา หรือสังคมศาสตร์ แต่ทุกสาขาวิชาจะต้องนำบทเรียนนี้ไปสอนให้ศิษย์รับรู้ ซึมซับ เข้าใจ เข้าถึงโดยตรง หรือบูรณาการก็แล้วแต่ ถ้าพลาดแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับว่าเสียชาติเกิดที่เป็นครูบาอาจารย์ อายประชาชนที่ไม่ได้เป็นครู (กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน) แต่เป็นนักรบแห่งมวลมหาประชาชนที่กล้าสู้ กล้าเสียสละ กล้าอดทน อยู่นอนกับดิน กินกลางถนนจากวันเป็นเดือน (ถ้าไม่จบง่ายอาจเป็นปี)
การเดินขบวนหรือการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธเพื่อขับไล่รัฐบาลหรือผู้ปกครองที่ประพฤติมิชอบ ทำความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ส่วนรวม แก่สังคมประเทศชาติ เป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นความถูกต้องตามหลักธรรมชาติอยู่แล้ว
จอห์น ล็อก นักปรัชญาชาวอังกฤษ กล่าวว่า... “ประชาชนมีสิทธิทำการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในเมื่อรัฐบาลนั้นใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง การที่ประชาชนมีสิทธิเช่นนี้ จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะไม่กล้าใช้อำนาจตามอำเภอใจ โดยไม่ฟังเสียงประชาชน”
นี่คือหลักการปกครอง ที่ผู้ปกครองพึงสำเหนียก
โดนใจ ป้ายเวทีของ คปท.(เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย) เขียนว่า... “คปท.ปฏิรูปประเทศไทย ด้วยอำนาจอธิปไตยของประชาชน” และป้ายเวทีของ กปท.(กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ)
ชัดเจนเหมือนน้ำใสมองเห็นสิ่งใต้น้ำ ปู ปลา ฝาหอยได้กระจ่างแล้ว
แน่นอน ก่อนจะปฏิรูปประเทศไทยได้นั้น จะต้องขจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซากชนิดถอนรากถอนโคนให้ได้เสียก่อน ซึ่งมวลมหาประชาชนผู้รักชาติกำลังทำอยู่ในกรอบของกฎหมาย มวลมหาประชาชนประกอบด้วยผู้คนทุกหมู่เหล่า จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน จากหนึ่งล้านเป็นหลายๆ ล้าน นับเป็นประวัติศาสตร์ของโลกทีเดียวที่ผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาลมีผู้ชุมนุมมากที่สุดในโลก
นี่คือ.....สามัคคีคือพลัง
พลังคืออำนาจ
อำนาจดีสร้างสรรค์
อำนาจชั่วทำลาย
ฝ่ายไหนอำนาจดีสร้างสรรค์ ฝ่ายไหนอำนาจชั่วทำลาย ไม่ต้องบอกก็รู้กันอยู่แล้ว และยิ่งไม่จำเป็นต้องถาม ฝ่ายไหนจะชนะ
“ธรรมะย่อมชนะอธรรม” ไม่มีสิ่งใดที่จะฝืนอมตะสัจธรรมนี้ได้ ขอเพียงแต่เราต้องถามตัวเองอยู่เสมอว่า...
เรารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ใช่ไหม?
เราเป็นส่วนหนึ่งของมวลมหาประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ใช่ไหม?
ถ้าใช่...เราก็เป็นหนึ่งพลังร่วมหลอมรวมขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ ในสถานการณ์กู้ชาติอย่าง “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”