xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิวัติน้ำมันพืช (ตอนที่ 15): เปิดรายงานสำคัญ การฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำมันมะพร้าว และลดเชื้อเอดส์ (ภาคที่ 1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากว่าในยุคเมื่อร้อยกว่าปีก่อนหลายชนชาติในโลกนี้ได้ใช้น้ำมันมะพร้าวในการักษาโรคได้โดยที่ระบบการสื่อสารไม่มากเท่านี้ แต่ในช่วงหลังที่มีงานวิทยาศาสตร์รองรับทำให้เราได้เข้าใจมากขึ้นด้วยว่า น้ำมันมะพร้าวมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคในร่างกายเราได้ด้วย

เชื้อก่อโรคมีหลายประเภทอยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์ ได้แก่ แบคทีเรีย ราและยีสต์ ไวรัส โปรโตซัว ส่วนปรสิต (เช่น พยาธิ) นั้นแม้จะไม่จัดอยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์เพราะมองด้วยตาเปล่าเห็นแต่ก็เป็นสาเหตุของโรคที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ด้วยเช่นกัน

เชื้อก่อโรคเหล่านี้ล้วนแล้วมีอยู่ในร่างกายเราทุกคน แต่ที่เราไม่เป็นโรคนั้นก็เพราะมีหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุสำคัญเพราะร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันหลายด้าน เช่น

1.เซลล์เม็ดเลือดขาวที่คอยวิ่งไล่และทำลายเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกายเรา
2.เพราะสภาพในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดแรงมาก (ค่า pH ประมาณ 1.5 - 2.0) จึงสามารถทำลายเชื้อก่อโรคได้ไปเป็นจำนวนมาก
3.เรามีผิวหนังที่มีน้ำมันซึ่งมีภาวะความเป็นกรดอ่อนๆ (ค่า pH ประมาณ 5.4) จึงสามารถป้องกันเชื้อโรคได้
4. ร่างกายเรามีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่คอยทำลายเชื้อโรคที่แปลกปลอมเข้ามาในร่างกายเรา


ในประเด็นหลังสุดคือร่างกายเรามีจุลินทรีย์ชนิดดีด้วยนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น แบคทีเรียประเภทที่ผลิตกรดแลคติก (Lactic Acid Bacteria) เช่น แลคโตบัลซีลัส (Lactobacillus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในผลิตภัณฑ์หมัก แบคทีเรียเหล่านี้เป็นแบคทีเรียแกรมบวก (gram positive bacteria) หมายถึงเป็นกลุ่มแบคทีเรียที่มีผนังเซลล์หนาของ pepticoglycan ชั้นเดียว ผนังเซลล์นี้ไม่มีชั้นไขมันมีความทนทานสูง ปกติจะคอยควบคุมไม่ให้เชื้อยิสต์ แคนดิด้า เจริญเติบโตมากเกินไปทั้งในช่องคลอดซึ่งจะทำให้ช่องคลอดเกิดการติดเชื้อ และป้องกันไม่ให้เชื้อยิสต์ แคนดิด้า เจริญเติบโตลำไส้มากเกินไปจนเกิดภาวะลำไส้อักเสบหรือลำไส้รั่ว

นอกจากนี้กลุ่มแบคทีเรียแลคติก ดังตัวอย่างเช่น แลคโตบัลซิลลัส ยังสามารถสร้าง แบคทีริโอซิน (Bacteriocin) ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดอื่นได้ด้วย หมายความว่านอกจากจะควบคุมยิสต์ก่อโรค ควบคุมจุลินทรีย์ชนิดอื่นได้แล้ว ยังสามารถทำให้ตัวเองเจริญเติบโตขึ้นด้วย

ปกติแล้วแลคโตบัลซิลลัสมีความทนทานสูงทั้งต่อความร้อนและความดัน แต่กลับมีความเปราะบางต่อยาปฏิชีวนะหลายตัว เมื่อคนเจ็บป่วยแล้วกินยาปฏิชีวนะนอกจากจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรคแล้ว ฤทธิ์ของยายังไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ดีเหล่านี้ไปด้วย ผลก็คือเชื้อยีสต์ แคนดิด้าในลำไส้จะเจริญเติบโตขึ้น เพราะยาปฏิชีวนะทำลายได้เฉพาะแบคทีเรียไม่ได้ทำลายยีสต์ เมื่อยีสต์แคนดิด้ามีจำนวนมากก็จะทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่วคือทำให้สารอาหารที่โมเลกุลขนาดใหญ่เกินถูกลำไส้ดูดซึมเข้าไปและกลายเป็นสิ่งผิดปกติแปลกปลอมจนภูมิต้านทานเข้าโจมตีได้ทั่วร่างกาย

ด้วยเหตุผลนี้คนยุคนี้ที่กินยาปฏิชีวนะมากจึงเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก !!!


มิพักต้องพูดถึงว่าคนที่กินยาปฏิชีวนะมากๆ ก็อาจจะทำให้เชื้อดื้อยาเพราะมีเชื้อที่หลุดรอดพ้นจากยาปฏิชีวนะและพัฒนากลายพันธุ์ให้แข็งแกร่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้เราป่วยได้ง่ายขึ้น รักษายากขึ้นทุกวัน

น้ำมันมะพร้าวดูจะเป็นอาหารตามธรรมชาติที่งานวิจัยในช่วงหลังได้ระบุว่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้ โดยไม่ทำลายจุลินทรีย์ชนิดดี และไม่ได้มีสารเคมีตกค้าง หรือทำให้เชื้อโรคดื้อยา

ธรรมชาติจัดสมดุลได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเชื้อโรคมักเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตร ธรรมชาติก็บันดาลให้เกิดต้นมะพร้าวที่เจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อนชื้นในบริเวณเส้นศูนย์สูตรเช่นกัน โดยที่น้ำมันมะพร้าวก็มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้

จากงานวิจัยของ Enig M.G.
ที่ได้นำเสนอรายงาน 3 ชิ้น ได้แก่การประชุมประชาคมมะพร้าวเอเชียและแปซิฟิก The Asian and Pacific Coconut Community (APCC) ครั้งที่ 36 ในคราวประชุมที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเมื่อปี พ.ศ. 2542 และรวมถึงการนำเสนอรายงานในปี พ.ศ. 2543 ในหัวข้อ Know Your Fats: The Complete Primer for Understanding the Nutrition of Fats, Oils and Cholesterol ทีมลรัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และการนำเสนอในงานสัมมนาน้ำมันลอริก AVOC ในหัวข้อ "Health and Nutritional Benefit from Coconut Oil: An Important Functional Food for the 21 Century. ณ เมืองโอจิมินห์ ประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2539 ได้พบว่า:

"สารที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อก่อโรคในน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันอิ่มตัวที่มีโมเลกุลสายปานกลาง ได้แก่ กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งมีคาร์บอน 12 ตัว มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าว 48-53% กรดคาปริก (Carpric acid) มีคาร์บอน 10 ตัว มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าว 7% กรดคาปริลิก (Caprylic acid) มีคาร์บอน 8 ตัว ซึ่งมีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 8% และกรดโปรอิก (Carproic acid) มีคาร์บอน 6 ตัว มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวประมาณ 0.5%"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กรดลอริก" นั้นซึ่งเป็นกรดไขมันสายปานกลางที่มีอยู่ในน้ำมันมะพร้าวเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกันกับที่อยู่ในน้ำนมแม่ประมาณ 3% - 18% มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อก่อโรคหลายชนิด และรวมถึงกรดอีกหลายชนิดในน้ำมันมะพร้าวด้วย รวมถึงโรคเอดส์

จากรายงานของนายแพทย์ Conrado S. Dayrit ในการประชุม Cocotech ครั้งที่ 38 ที่เมือง เชนไน ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 ในหัวข้อ "Coconut Oil in Health and Disease: Its and Monolauri's Potential as Cure for HIV/AIDS."พบว่า

"กรดลอริกเมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะเปลี่ยนเป็นสาร "โมโนลอริน" และองค์ประกอบอื่นๆในน้ำมันมะพร้าว จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อก่อโรคด้วย ไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัส และโปรโตซัว"

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในงานรายงานครั้งนั้นของนายแพทย์ Conrado S. Dayrit ได้รายงานเกี่ยวกับการรักษาผู้ป่วย 15 ราย ที่มีอายุระหว่าง 22 ถึง 38 ปี ซึ่งได้รับเชื้อ HIV โดยที่ผู้ป่วยโรคเอดส์กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ไม่เคยได้รรับการรักษาโรคมาก่อน หรือไม่มีฐานะที่จะรักษาตัวเองได้ โดยแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มแรก5 ราย รับประทานโมโนลอรินระดับสูง 7.2 กรัม (9 แคปซูล) รับประทาน 3 เวลาทุกวัน หรือประมาณ 22 กรัมต่อวัน
กลุ่มที่สอง 5 ราย รับประทานโมโนลอรินในระดับต่ำ 2.4 กรัม (3 แคปซูล) รับประทาน 3 เวลา หรือประมาณ 7.2 กรัมต่อวัน
กลุ่มที่สามดื่มน้ำมันมะพร้าวโดยตรง 15 มิลลิลิตร 3 เวลาทุกวัน หรือประมาณ 45 มิลลิลิตรต่อวัน ซึ่งเทียบปริมาณโมโนลอรินในระดับเดียวกันกับกลุ่มแรก เพียงแต่รับประทานผ่านน้ำมันมะพร้าว

ผลการตรวจนับ CD4 และ CD8 ใน "เดือนที่ 3" ปรากฏผลทั้ง 3 กลุ่มดังนี้

กลุ่มแรกกลุ่มที่รับประทานโมโนลอรินระดับสูง 2 รายพบว่ามีเชื้อลดลง
กลุ่มที่สองกลุ่มที่รับประทานโมโนลอรินระดับต่ำ 2 รายพบว่ามีเชื้อลดลง
กลุ่มที่สามกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าว 3 รายมีเชื้อลดลง


ผลปรากฏว่าการรักษาด้วยวิธีการนี้มีผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น 7 รายจาก 15 ราย ในการทดลองนี้มีผู้ป่วยรายหนึ่งในกลุ่มตัวอย่างเมื่อตรวจแล้วไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้จึงได้คัดออกจากการสำรวจครั้งนี้ และได้ดำเนินการต่อไป "เดือนที่ 6" ผลตรวจเลือดพบดังนี้

กลุ่มแรกกลุ่มที่รับประทานโมโนลอรินระดับสูง 2 รายจาก 4 รายพบว่ามีเชื้อลดลง
กลุ่มที่สองกลุ่มที่รับประทานโมโนลอรินระดับต่ำ 4 รายจาก 5 ราย พบว่ามีเชื้อลดลง
กลุ่มที่สามกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าว 3 รายจาก 5 รายมีเชื้อลดลง

ผ่านไป 6 เดือน จากผลการตรวจเลือดพบว่า ผู้ป่วย 14 ราย มีเชื้อลดปริมาณลง 9 ราย และมีเชื้อเพิ่มขึ้น 5 ราย แต่พบว่ามี 3 รายที่มีการตรวจเชื้อแล้วพบว่าลดลงไปอย่างมีนัยยะสำคัญ (CD4 น้อยกว่า 200) คือกลุ่มที่ใช้โมโน
ลอรินในระดับต่ำ 2 ราย และดื่มน้ำมันมะพร้าวโดยตรง 1 ราย

นายแพทย์ Conrado S. Dayrit ได้สรุปในรายงานครั้งนั้นว่าน้ำมันมะพร้าวมีผลการต้านและลดเชื้อ HIV ในผู้ป่วยเอดส์ ผลการตรวจครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่โมโนลอรินที่ได้จากกรดลอลิกในน้ำมันมะพร้าวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลลัพธ์ที่ได้จากน้ำมันมะพร้าวโดยตรงด้วย การศึกษาครั้งนี้ยังชัดด้วยว่าการเผาผลาญให้เป็นในรูป โมโนกลีเซอไรด์ ได้ทั้งจากกรดคาปริลิก (Caprylic acid) กรดคาปริก (Carpric acid) กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งมีอยู่ในน้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อก่อโรคได้



กำลังโหลดความคิดเห็น