การที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน โดดลงมาเล่นบทผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ (ผอ.ศรส.) แสดงท่าทางแอ๊กอาร์ต ขึงขัง ประกาศกร้าวให้กลุ่ม กปปส. ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งเป็นเลขาธิการ รีบถอนตัว ถอนกำลัง เลิกปิดสถานที่ราชการทั้งหมดภายใน 72 ชั่วโมง หากคิดลองดี เจอหน่วยจู่โจมเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปรวมตัวระดับหัวโจกแน่นอน
ขณะที่ฝ่าย สุเทพ หรือ"ลุงกำนัน" ของมวลมหาประชาชน ก็ประกาศสวนไปทันควัน สั่งให้"เฉลิม" ยุบ ศรส.ด่วน ภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะพาเหล่ามวลมหาประชาชน บุกไปปิดล้อมที่ทำการ ศรส. และงานนี้อาจจะเห็นคนบางคน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนในอดีต
**จึงน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าใครจะกันแน่จะเป็นของจริง เพราะถือเป็นมวยถูกคู่ สมน้ำสมเนื้อที่สุด
หากจับทางมวยของทั้งคู่แล้ว จะเห็นว่า ฝ่าย‘ลุงกำนัน’มีแบ็กเป็นมวลมหาประชาชน ที่พากันออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ทั่วทุกซอกทุกมุมของประเทศ
ส่วน"เฉลิม" ถืออำนาจของรัฐบาลรักษาการอยู่ในมือ แถมปากคาบ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งยังมาด้วยจิตวิญญาณ"ขี้ข้า"ที่ขายให้กับ"ทักษิณ ชินวัตร" ชนิดถวายหัว
ปูมหลัง "สุเทพ" เริ่มต้นไต่เต้าจากการเมืองท้องถิ่นในตำแหน่งกำนัน ต.ท่าสะอ้าน อ. พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี แถมยังเป็นกำนันหนุ่มคนแรก ที่มีดีกรีถึงระดับปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ
ขณะที่ "เฉลิม" ก็ผาดโผนไม่น้อยหน้า เรียนรู้ลูกล่อ ลูกชนทางการเมืองตั้งแต่ยศสิบโท ด้วยการร่วมขบวนการก่อรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปี 2524 แต่ไม่สำเร็จ จนโดนไล่ออกจากราชการ ซ้ำด้วยถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง สุดท้ายรอดตัวไป เพราะได้รับการนิรโทษกรรม
แต่ทั้งสองเริ่มต้นเข้าสู่การเมืองระดับชาติจากเบ้าหลอมเดียวกันคือ พรรคประชาธิปัตย์ ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ทุกคนยอมรับว่า เป็นโรงเรียนที่ผลิตนักการเมืองที่มีฝีมือป้อนให้วงการการเมืองไทยมามากมาย
เพียงแต่ สุเทพ เป็นศิษย์รุ่นพี่ เข้ามาก่อนในปี 2522 ส่วน"เฉลิม" เข้ามาปี 2526 แม้จะห่างกัน 4 ปี แต่ในทางการเมืองถือว่าไม่ห่าง พอจะนับได้เป็นรุ่นเดียวกันได้
ในช่วงเวลานั้น ทั้งสองยังพอมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมพรรคการเมืองกันอยู่
จนเมื่อ เฉลิม ผละจากอกพระแม่ธรณี ไปตั้งพรรคการเมืองของตนเอง ชื่อ“พรรคมวลชน”ตามคติส่วนตัวที่ว่า เป็นหัวหมา ดีกว่าเป็นหางราชสีห์
เฉลิม เริ่มเสพติดอำนาจการเมือง หลังจากได้นั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กำกับดูแล อสมท. สร้างวีรกรรม นำรถถ่ายทอดโทรทัศน์ไปดักฟังข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม จนได้ฉายา "เหลิมดาวเทียม" และร่วมรุมกินโต๊ะในรัฐบาล หรือ "บุฟเฟ่ต์คาบิเนต" จนในที่สุดก็ถูกรัฐประหาร ด้วยฝีมือของ คณะรสช. ที่มี"บิ๊กจ๊อด" พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นผู้นำ ถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท ด้วยข้อหาร่ำรวยผิดปกติ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปอยู่ในดงหิมะ ที่ สวีเดน เดนมาร์ก อยู่หลายปี
พอกลับมาเมืองไทย ถึงขั้นก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทย กล่าวสาบดสาบานว่า จะเลิกเล่นการเมืองเลยทีเดียว
**แต่อย่างว่า หมามันเคยกินขี้ แล้วคนอย่าง เฉลิม มีหรือจะไม่หวนคืนการเมือง แล้วยังได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกหลายตัว ทั้งในรัฐบาล"หลงจู๊" บรรหาร ศิลปอาชา และ รัฐบาล"พ่อใหญ่จิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ขณะที่สุเทพ เส้นทางการเมืองไม่ได้หวือหวา เหมือนอีกฝ่าย ไต่เต้าจากลูกพรรคธรรมดา ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ตำแหน่งต่างๆ ทั้ง รองหัวหน้า กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค จนมาถึงเลขาธิการพรรค
การที่ทั้งสองอยู่คนละฝ่ายทางการเมือง และหัวโขนที่สวมอยู่ ทำให้ความสัมพันธ์ฉัน์เพื่อนเริ่มห่างเหิน ปริร้าว กระทั่งกลายเป็นไม้เบื่อ ไม้เมา กันในสภา
แต่มาแตกหักกันชัดเจน เมื่อครั้งที่เฉลิม เรืองอำนาจในตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช นั่งกำกับกรมที่ดินด้วย เลยสั่งให้ฟ้อง บริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด ธุรกิจครอบครัวของสุเทพ ฐานบุกรุกที่ดินรัฐ 59 แปลง 1,300 ไร่ จนต้องพิสูจน์กันอุตลุต ทั้งในสภา และนอกสภา สุดท้ายกรมที่ดินต้องถอนฟ้อง แล้ว เฉลิม ก็โดน สุเทพ เอาคืน ฟ้องกลับในข้อหาหมิ่นประมาท
งานนั้นคนวงในบอกว่า สุเทพ แค้นแทบกระอักเลือด ถึงกับลั่นวาจาว่า งานนี้ต้องปลด"ไอ้เหลิม" ให้ได้ และด้วยเพาเว่อร์ทางการเมือง ที่มีแฝงอยู่ในรัฐบาลสมัคร ทำเอา เฉลิม ถูกเฉดหัวจากเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ตามวาจาสิทธิ์
อย่างที่บอก ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ผลที่ตามมาในครั้งนี้ ได้สร้างความแค้นฝั่งหุ่นให้กับ“เฉลิม”เป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นสาบานว่า แค้นนี้ต้องสะสาง
หลังจากนั้น การห้ำหั่นกันทางการเมืองของทั้งสอง ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุเทพ นั่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายความมั่นคง เฉลิมก็ตามล้างตามเช็ด ด้วยบทบาทของฝ่ายค้านในสภา
**ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุกรุกที่ดินเขาแพง เกาะสมุย ที่แตะไปที่ลูกชายหัวแหวน “แทน เทือกสุบรรณ”แต่เจ็บไปถึงผู้เป็นพ่อ โครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งฉาว รวมทั้ง เรื่องออกคำสั่งฆ่าประชาชน 91 ศพ ในตอนที่เป็น ผอ.ศอฉ. ลุยกับพวกเสื้อแดง
แต่ละเรื่องล้วนข้อหาหนักๆ ทั้งนั้น ฟาดฟันกันในสภามันหยด ถึงขั้นประธานต้องสั่งหิ้วปีก เฉลิม ออกจากห้องประชุม
จนเมื่อได้กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "เฉลิม"เลยถือโอกาส เช็คบิล รวบทุกข้อหาใช้ "ขี้ข้าร่วมสาบาน" อย่าง "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดี ดีเอสไอ. จัดหนัก ให้ สุเทพ แถมพ่วงด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทันที ชนิดที่ว่าไม่ต้องเป็นอันทำอะไร นอกจากเดินสายขึ้นศาล ต่อสู้คดี
ความเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีต่อ เฉลิม ถึงขั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ สุเทพ โดดขึ้นเวทีทอล์กโชว์สมัครเล่น จิกกัด เปลือยตัวตนของเฉลิม ต่อสาธารณะชน เป็นที่สนุกสนาน ถูกอกถูกใจบรรดาพ่อยก แม่ยก พรรคประชาธิปัตย์กันยกใหญ่
เมื่อ สุเทพ ลาออกจากส.ส. มาเป็น "ลุงกำนัน" หัวหอกนำพี่น้องประชาชนออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ อย่างเต็มตัวครั้งนี้ น่าจะเป็นจุดแตกหัก ที่ทั้งสองคนต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ ที่สร้างความคั่งแค้นให้กับ เฉลิม ต้องเจอตำตาต่อการชุมนุมหนนี้ ไม่ว่าจะการใช้ ดีเอสไอ. อายัดบัญชีแกนนำทุกคนพร้อมด้วยสปอนเซอร์ต่างๆ หวังตัดมือตัดตีน ก็ไม่ได้ผลดังใจหวัง
ภาพมวลชนแห่มาให้กำลังใจ พร้อมบริจาคเงินให้ลุงกำนันอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวัน มันช่างทิ่มตา แทงใจ คนชื่อเฉลิมยิ่งนัก
แม้จะใช้อำนาจ ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงก็แล้ว โยนไพ่ใบสุดท้ายประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็แล้ว แต่ดูเหมือนจะยิ่งเป้นการช่วยกวักมือเรียกมวลมหาประชาชน ให้ออกมากยิ่งขึ้น
** ดังนั้น ก็คงต้องมากันลุ้นจนว่า ระหว่างเส้นตาย 72 ชั่วโมงจับตัวกำนันสุเทพ กับเส้นตาย 24 ชั่วโมง ยุบทิ้ง ศรส. ใครจะแพ้ จะชนะ
ขณะที่ฝ่าย สุเทพ หรือ"ลุงกำนัน" ของมวลมหาประชาชน ก็ประกาศสวนไปทันควัน สั่งให้"เฉลิม" ยุบ ศรส.ด่วน ภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะพาเหล่ามวลมหาประชาชน บุกไปปิดล้อมที่ทำการ ศรส. และงานนี้อาจจะเห็นคนบางคน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เหมือนในอดีต
**จึงน่าจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าใครจะกันแน่จะเป็นของจริง เพราะถือเป็นมวยถูกคู่ สมน้ำสมเนื้อที่สุด
หากจับทางมวยของทั้งคู่แล้ว จะเห็นว่า ฝ่าย‘ลุงกำนัน’มีแบ็กเป็นมวลมหาประชาชน ที่พากันออกมาต่อต้านระบอบทักษิณ ทั่วทุกซอกทุกมุมของประเทศ
ส่วน"เฉลิม" ถืออำนาจของรัฐบาลรักษาการอยู่ในมือ แถมปากคาบ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งยังมาด้วยจิตวิญญาณ"ขี้ข้า"ที่ขายให้กับ"ทักษิณ ชินวัตร" ชนิดถวายหัว
ปูมหลัง "สุเทพ" เริ่มต้นไต่เต้าจากการเมืองท้องถิ่นในตำแหน่งกำนัน ต.ท่าสะอ้าน อ. พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี แถมยังเป็นกำนันหนุ่มคนแรก ที่มีดีกรีถึงระดับปริญญาโท จากสหรัฐอเมริกา ก่อนจะผันตัวมาเป็นนักการเมืองระดับชาติ
ขณะที่ "เฉลิม" ก็ผาดโผนไม่น้อยหน้า เรียนรู้ลูกล่อ ลูกชนทางการเมืองตั้งแต่ยศสิบโท ด้วยการร่วมขบวนการก่อรัฐประหารรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปี 2524 แต่ไม่สำเร็จ จนโดนไล่ออกจากราชการ ซ้ำด้วยถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง สุดท้ายรอดตัวไป เพราะได้รับการนิรโทษกรรม
แต่ทั้งสองเริ่มต้นเข้าสู่การเมืองระดับชาติจากเบ้าหลอมเดียวกันคือ พรรคประชาธิปัตย์ ค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่ทุกคนยอมรับว่า เป็นโรงเรียนที่ผลิตนักการเมืองที่มีฝีมือป้อนให้วงการการเมืองไทยมามากมาย
เพียงแต่ สุเทพ เป็นศิษย์รุ่นพี่ เข้ามาก่อนในปี 2522 ส่วน"เฉลิม" เข้ามาปี 2526 แม้จะห่างกัน 4 ปี แต่ในทางการเมืองถือว่าไม่ห่าง พอจะนับได้เป็นรุ่นเดียวกันได้
ในช่วงเวลานั้น ทั้งสองยังพอมีความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมพรรคการเมืองกันอยู่
จนเมื่อ เฉลิม ผละจากอกพระแม่ธรณี ไปตั้งพรรคการเมืองของตนเอง ชื่อ“พรรคมวลชน”ตามคติส่วนตัวที่ว่า เป็นหัวหมา ดีกว่าเป็นหางราชสีห์
เฉลิม เริ่มเสพติดอำนาจการเมือง หลังจากได้นั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กำกับดูแล อสมท. สร้างวีรกรรม นำรถถ่ายทอดโทรทัศน์ไปดักฟังข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม จนได้ฉายา "เหลิมดาวเทียม" และร่วมรุมกินโต๊ะในรัฐบาล หรือ "บุฟเฟ่ต์คาบิเนต" จนในที่สุดก็ถูกรัฐประหาร ด้วยฝีมือของ คณะรสช. ที่มี"บิ๊กจ๊อด" พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นผู้นำ ถูกยึดทรัพย์จำนวน 32 ล้านบาท ด้วยข้อหาร่ำรวยผิดปกติ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ไปอยู่ในดงหิมะ ที่ สวีเดน เดนมาร์ก อยู่หลายปี
พอกลับมาเมืองไทย ถึงขั้นก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทย กล่าวสาบดสาบานว่า จะเลิกเล่นการเมืองเลยทีเดียว
**แต่อย่างว่า หมามันเคยกินขี้ แล้วคนอย่าง เฉลิม มีหรือจะไม่หวนคืนการเมือง แล้วยังได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีอีกหลายตัว ทั้งในรัฐบาล"หลงจู๊" บรรหาร ศิลปอาชา และ รัฐบาล"พ่อใหญ่จิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ขณะที่สุเทพ เส้นทางการเมืองไม่ได้หวือหวา เหมือนอีกฝ่าย ไต่เต้าจากลูกพรรคธรรมดา ขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ตำแหน่งต่างๆ ทั้ง รองหัวหน้า กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค จนมาถึงเลขาธิการพรรค
การที่ทั้งสองอยู่คนละฝ่ายทางการเมือง และหัวโขนที่สวมอยู่ ทำให้ความสัมพันธ์ฉัน์เพื่อนเริ่มห่างเหิน ปริร้าว กระทั่งกลายเป็นไม้เบื่อ ไม้เมา กันในสภา
แต่มาแตกหักกันชัดเจน เมื่อครั้งที่เฉลิม เรืองอำนาจในตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช นั่งกำกับกรมที่ดินด้วย เลยสั่งให้ฟ้อง บริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม จำกัด ธุรกิจครอบครัวของสุเทพ ฐานบุกรุกที่ดินรัฐ 59 แปลง 1,300 ไร่ จนต้องพิสูจน์กันอุตลุต ทั้งในสภา และนอกสภา สุดท้ายกรมที่ดินต้องถอนฟ้อง แล้ว เฉลิม ก็โดน สุเทพ เอาคืน ฟ้องกลับในข้อหาหมิ่นประมาท
งานนั้นคนวงในบอกว่า สุเทพ แค้นแทบกระอักเลือด ถึงกับลั่นวาจาว่า งานนี้ต้องปลด"ไอ้เหลิม" ให้ได้ และด้วยเพาเว่อร์ทางการเมือง ที่มีแฝงอยู่ในรัฐบาลสมัคร ทำเอา เฉลิม ถูกเฉดหัวจากเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ตามวาจาสิทธิ์
อย่างที่บอก ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ผลที่ตามมาในครั้งนี้ ได้สร้างความแค้นฝั่งหุ่นให้กับ“เฉลิม”เป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นสาบานว่า แค้นนี้ต้องสะสาง
หลังจากนั้น การห้ำหั่นกันทางการเมืองของทั้งสอง ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล สุเทพ นั่งรองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายความมั่นคง เฉลิมก็ตามล้างตามเช็ด ด้วยบทบาทของฝ่ายค้านในสภา
**ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุกรุกที่ดินเขาแพง เกาะสมุย ที่แตะไปที่ลูกชายหัวแหวน “แทน เทือกสุบรรณ”แต่เจ็บไปถึงผู้เป็นพ่อ โครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งฉาว รวมทั้ง เรื่องออกคำสั่งฆ่าประชาชน 91 ศพ ในตอนที่เป็น ผอ.ศอฉ. ลุยกับพวกเสื้อแดง
แต่ละเรื่องล้วนข้อหาหนักๆ ทั้งนั้น ฟาดฟันกันในสภามันหยด ถึงขั้นประธานต้องสั่งหิ้วปีก เฉลิม ออกจากห้องประชุม
จนเมื่อได้กลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ "เฉลิม"เลยถือโอกาส เช็คบิล รวบทุกข้อหาใช้ "ขี้ข้าร่วมสาบาน" อย่าง "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อธิบดี ดีเอสไอ. จัดหนัก ให้ สุเทพ แถมพ่วงด้วย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทันที ชนิดที่ว่าไม่ต้องเป็นอันทำอะไร นอกจากเดินสายขึ้นศาล ต่อสู้คดี
ความเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่มีต่อ เฉลิม ถึงขั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ สุเทพ โดดขึ้นเวทีทอล์กโชว์สมัครเล่น จิกกัด เปลือยตัวตนของเฉลิม ต่อสาธารณะชน เป็นที่สนุกสนาน ถูกอกถูกใจบรรดาพ่อยก แม่ยก พรรคประชาธิปัตย์กันยกใหญ่
เมื่อ สุเทพ ลาออกจากส.ส. มาเป็น "ลุงกำนัน" หัวหอกนำพี่น้องประชาชนออกมาขับไล่ระบอบทักษิณ อย่างเต็มตัวครั้งนี้ น่าจะเป็นจุดแตกหัก ที่ทั้งสองคนต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลายเรื่องหลายเหตุการณ์ ที่สร้างความคั่งแค้นให้กับ เฉลิม ต้องเจอตำตาต่อการชุมนุมหนนี้ ไม่ว่าจะการใช้ ดีเอสไอ. อายัดบัญชีแกนนำทุกคนพร้อมด้วยสปอนเซอร์ต่างๆ หวังตัดมือตัดตีน ก็ไม่ได้ผลดังใจหวัง
ภาพมวลชนแห่มาให้กำลังใจ พร้อมบริจาคเงินให้ลุงกำนันอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวัน มันช่างทิ่มตา แทงใจ คนชื่อเฉลิมยิ่งนัก
แม้จะใช้อำนาจ ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงก็แล้ว โยนไพ่ใบสุดท้ายประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็แล้ว แต่ดูเหมือนจะยิ่งเป้นการช่วยกวักมือเรียกมวลมหาประชาชน ให้ออกมากยิ่งขึ้น
** ดังนั้น ก็คงต้องมากันลุ้นจนว่า ระหว่างเส้นตาย 72 ชั่วโมงจับตัวกำนันสุเทพ กับเส้นตาย 24 ชั่วโมง ยุบทิ้ง ศรส. ใครจะแพ้ จะชนะ