**สถานการณ์ของ“เครือข่ายชินวัตร”เวลานี้ถูกต้อนเข้ามุมอับ ไม่มีทางให้เลือกเดินมากนัก หลายเรื่องหลายประเด็น ทั้งกรรมเก่า-กรรมใหม่ รอขึ้นเขียงเชือดได้ทุกเพลา
จนบรรดา “กุนซือ-ลิ่วล้อ-สมุน-คนเสื้อแดง”ออกมาบ่นกันเกือบทุกวัน เพราะแทบจะไม่มีทางให้เดินต่อ
แม้รูจะ“หายใจ”ก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน
คาถาเลือกตั้ง 2 ก.พ. ที่ท่องกันขึ้น ก็ส่อแท้งก่อนคลอด เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สามารถเลื่อนเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับนายกรัฐมนตรีไปหารือในรายละเอียด
โดย“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี จะเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณ เข้าหารือกับ กกต. ถึงความเป็นไปได้-วิธีการ ในการเลื่อนการเลือกตั้งบ่ายวันนี้
**ผลจะออกมาอย่างไรคงต้องลุ้นกันตัวโก่ง
แต่ก่อนถึงวันนัดหมายหารือ คนเครือข่ายชินวัตร ทั้ง “รัฐบาล-คนเสื้อแดง-นักวิชาการแดง”ต่างออกมาแสดงจุดยืนกันแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่ รัฐบาลจะยอมอ่อนข้อให้กับ“ศาลรัฐธรรมนูญ-กกต.”ด้วยการเลื่อนการเลือกตั้ง
เพราะยังยึดติดขอเอาหลังพิงแอบอิงกับกับข้อ“กฎหมาย”ทั้งที่ผ่านมาคนเครือข่ายชินวัตรไม่เคยเคารพ กฎหมายเลยแม้แต่น้อย
จ้องที่จะฉีก“รัฐธรรมนูญ”ที่เป็นกฎหมายสูงสุดเสียด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามีข้อกฎหมายอันไหนที่เป็นผลประโยชน์ คนเครือข่ายชินวัตร ก็พร้อมที่จะอิงแอบ เพื่อเอาไว้เป็นตัวช่วย
หนำซ้ำยังจินตนาการว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ”ขุดหลุมพราง ล่อให้คนเครือข่ายชินวัตรตกลงไป เพราะมีบทเรียนมาแล้วกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้แก้ไขรายมาตราได้ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอแก้รายมาตรา ก็วินิจฉัยว่าเป็นความผิด
**แต่คนเครือข่ายชินวัตร ลืมมองไปว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เป็นการกระทำผิดของ “ส.ส.เพื่อไทย”ทั้งหมด เช่น การเสียบบัตรแทนกัน การปิดกั้นไม่ให้ฝ่ายค้านแปรญัตติ เป็นต้น
มองทางตรงกันข้ามคนเครือข่ายชินวัตร กลัวสะดุดขาตัวเอง มากกว่าตกหลุมพรางของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าคนเครือข่ายชินวัตรไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็ยากที่องค์กรไหนจะหาช่องทางมาเล่นงานได้
ฝั่ง กกต. ออกมาแสดงจุดยืนอย่างแข็งขันไม่ต่างกันว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในสภาวะที่บ้านเมืองสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงได้
ที่สำคัญหากจัดการเลือกตั้ง โดยที่ยังไม่มีอะไรรับรองได้ว่าบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย เป็นการฝืนกระแส จนอาจจะทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์
ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อ ไม่ยอมลดราวาศอกลง การหาจุดร่วมที่จะตกลงกำหนดกรอบวันเลือกตั้งกันใหม่ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือนคนเครือข่ายชินวัตรนอกจากจะมี “ศัตรู”เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องเสีย“คนเคยรัก-เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข”อีกต่างหาก
โดยเฉพาะในรายของ“พรรคชาติไทยพัฒนา”ที่ออกตัวแรงสมดังฉายา "ปลาไหลใส่สเก็ต" ซึ่ง “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล”ที่ปรึกษาพรรคได้รับมอบหมายจาก “บรรหาร ศิลปอาชา”ผู้มีบารมีตัวจริง มาแถลงจุดยืน ยอมรับคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะตามสไตล์ “ปลาไหล”ยี่ห้อ “บรรหาร”แล้ว ในยามที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ต้องออกตัวให้เป็นกลางไว้ก่อน ไม่ยอมแทงหวยเลือกข้าง ให้มีคนชนะก่อนบรรหารถึงจะเลือก
**เมื่อ "ค่ายสุพรรณฯ" แบะท่ายอมให้เลื่อนเลือกตั้ง “เพื่อไทย”จึงอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ลอยคอเคว้งคว้างในทะเล เวลานี้เหมือนสู้อยู่เพียงพรรคเดียว
ผนวกกับคดีของ “เพื่อไทย”ที่อยู่ในอุ้งมือของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในคดีโครงการรับจำนำข้าว คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. และที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นต้น ใกล้ถึงขั้นตอนตัดสินเต็มแก่
รวมกับการชุมนุมของ“สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ กปปส. ที่นับวันยิ่งมีความทวีพลานุภาพขึ้น ผนวกกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยิ่งเปิดทางให้มีความรุนแรง โดยเฉพาะ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่มีบัตรผ่านในการเข้าสลายการชุมนุม
แม้ฉากหน้า “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ” (ศรส.) ที่นำโดย“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง”ผอ.ศรส. จะยืนยันว่าไม่มีการสลายการชุมนุม แต่ฉากหลัง ยังมีการบงการให้ “ชายชุดดำ”ก่อเหตุความรุนแรงไม่เว้นวัน ซึ่งเป้าหมายหลักขณะนี้คือ“กลุ่มเครือข่ายนักศึกษา ประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย”(คปท.) ที่ถูกตามล่าทั้งยามค่ำคืน และกลางวันแสกแสก
แหล่งข่าวจาก“หน่วยงานความมั่นคง”วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตอนนี้ สภาพรัฐบาลหลังพิงฝา เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ออกมา เป็นผลเสียต่อรัฐบาลมาก ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามยื้อไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะหวังว่าหากมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ทุกอย่างจะคลี่คลาย
**จากนี้ต้องรอดูว่า การหารือระหว่างกกต.กับรัฐบาล จะออกมาอย่างไร หากยังยืนยันว่า จะเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. สถานการณ์การชุมนุมจะรุนแรงกว่าเดิม และหาก กกต.ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีทางออกอื่น
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ “รัฐบาลปูแดง”ขณะนี้เหมือน “หมาจนตรอก" ที่ถูกฝั่งตรงข้ามไล่ต้อนเข้ามุม หากไม่สู้ ก็รอวัน“ตาย”อย่างเดียว
ดังนั้นหาก"ยิ่งลักษณ์-นายใหญ่-ลิ่วล้อ"ไม่คิดสู้ คงต้องสูญเสียอำนาจที่หวังครอบครองอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นแน่
และทางสู้ของคนเครือข่ายชินวัตรในกระดานการเมืองครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นการใช้กำลังเข้าห้ำหั่น เพราะไม่มี “อาวุธ”ก็ไม่มี “เครื่องมือ”ที่จะใช้ได้แล้ว
**สถานการณ์ประเทศไทยนับวันรอ “สงคราม”อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จนบรรดา “กุนซือ-ลิ่วล้อ-สมุน-คนเสื้อแดง”ออกมาบ่นกันเกือบทุกวัน เพราะแทบจะไม่มีทางให้เดินต่อ
แม้รูจะ“หายใจ”ก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน
คาถาเลือกตั้ง 2 ก.พ. ที่ท่องกันขึ้น ก็ส่อแท้งก่อนคลอด เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้สามารถเลื่อนเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับนายกรัฐมนตรีไปหารือในรายละเอียด
โดย“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี จะเป็นตัวแทนของระบอบทักษิณ เข้าหารือกับ กกต. ถึงความเป็นไปได้-วิธีการ ในการเลื่อนการเลือกตั้งบ่ายวันนี้
**ผลจะออกมาอย่างไรคงต้องลุ้นกันตัวโก่ง
แต่ก่อนถึงวันนัดหมายหารือ คนเครือข่ายชินวัตร ทั้ง “รัฐบาล-คนเสื้อแดง-นักวิชาการแดง”ต่างออกมาแสดงจุดยืนกันแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่ รัฐบาลจะยอมอ่อนข้อให้กับ“ศาลรัฐธรรมนูญ-กกต.”ด้วยการเลื่อนการเลือกตั้ง
เพราะยังยึดติดขอเอาหลังพิงแอบอิงกับกับข้อ“กฎหมาย”ทั้งที่ผ่านมาคนเครือข่ายชินวัตรไม่เคยเคารพ กฎหมายเลยแม้แต่น้อย
จ้องที่จะฉีก“รัฐธรรมนูญ”ที่เป็นกฎหมายสูงสุดเสียด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามีข้อกฎหมายอันไหนที่เป็นผลประโยชน์ คนเครือข่ายชินวัตร ก็พร้อมที่จะอิงแอบ เพื่อเอาไว้เป็นตัวช่วย
หนำซ้ำยังจินตนาการว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ”ขุดหลุมพราง ล่อให้คนเครือข่ายชินวัตรตกลงไป เพราะมีบทเรียนมาแล้วกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้แก้ไขรายมาตราได้ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอแก้รายมาตรา ก็วินิจฉัยว่าเป็นความผิด
**แต่คนเครือข่ายชินวัตร ลืมมองไปว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เป็นการกระทำผิดของ “ส.ส.เพื่อไทย”ทั้งหมด เช่น การเสียบบัตรแทนกัน การปิดกั้นไม่ให้ฝ่ายค้านแปรญัตติ เป็นต้น
มองทางตรงกันข้ามคนเครือข่ายชินวัตร กลัวสะดุดขาตัวเอง มากกว่าตกหลุมพรางของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าคนเครือข่ายชินวัตรไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็ยากที่องค์กรไหนจะหาช่องทางมาเล่นงานได้
ฝั่ง กกต. ออกมาแสดงจุดยืนอย่างแข็งขันไม่ต่างกันว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในสภาวะที่บ้านเมืองสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงได้
ที่สำคัญหากจัดการเลือกตั้ง โดยที่ยังไม่มีอะไรรับรองได้ว่าบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย เป็นการฝืนกระแส จนอาจจะทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์
ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อ ไม่ยอมลดราวาศอกลง การหาจุดร่วมที่จะตกลงกำหนดกรอบวันเลือกตั้งกันใหม่ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือนคนเครือข่ายชินวัตรนอกจากจะมี “ศัตรู”เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องเสีย“คนเคยรัก-เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข”อีกต่างหาก
โดยเฉพาะในรายของ“พรรคชาติไทยพัฒนา”ที่ออกตัวแรงสมดังฉายา "ปลาไหลใส่สเก็ต" ซึ่ง “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล”ที่ปรึกษาพรรคได้รับมอบหมายจาก “บรรหาร ศิลปอาชา”ผู้มีบารมีตัวจริง มาแถลงจุดยืน ยอมรับคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะตามสไตล์ “ปลาไหล”ยี่ห้อ “บรรหาร”แล้ว ในยามที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ต้องออกตัวให้เป็นกลางไว้ก่อน ไม่ยอมแทงหวยเลือกข้าง ให้มีคนชนะก่อนบรรหารถึงจะเลือก
**เมื่อ "ค่ายสุพรรณฯ" แบะท่ายอมให้เลื่อนเลือกตั้ง “เพื่อไทย”จึงอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ลอยคอเคว้งคว้างในทะเล เวลานี้เหมือนสู้อยู่เพียงพรรคเดียว
ผนวกกับคดีของ “เพื่อไทย”ที่อยู่ในอุ้งมือของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในคดีโครงการรับจำนำข้าว คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. และที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นต้น ใกล้ถึงขั้นตอนตัดสินเต็มแก่
รวมกับการชุมนุมของ“สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ กปปส. ที่นับวันยิ่งมีความทวีพลานุภาพขึ้น ผนวกกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยิ่งเปิดทางให้มีความรุนแรง โดยเฉพาะ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่มีบัตรผ่านในการเข้าสลายการชุมนุม
แม้ฉากหน้า “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ” (ศรส.) ที่นำโดย“ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง”ผอ.ศรส. จะยืนยันว่าไม่มีการสลายการชุมนุม แต่ฉากหลัง ยังมีการบงการให้ “ชายชุดดำ”ก่อเหตุความรุนแรงไม่เว้นวัน ซึ่งเป้าหมายหลักขณะนี้คือ“กลุ่มเครือข่ายนักศึกษา ประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย”(คปท.) ที่ถูกตามล่าทั้งยามค่ำคืน และกลางวันแสกแสก
แหล่งข่าวจาก“หน่วยงานความมั่นคง”วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตอนนี้ สภาพรัฐบาลหลังพิงฝา เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ออกมา เป็นผลเสียต่อรัฐบาลมาก ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามยื้อไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะหวังว่าหากมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ทุกอย่างจะคลี่คลาย
**จากนี้ต้องรอดูว่า การหารือระหว่างกกต.กับรัฐบาล จะออกมาอย่างไร หากยังยืนยันว่า จะเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. สถานการณ์การชุมนุมจะรุนแรงกว่าเดิม และหาก กกต.ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีทางออกอื่น
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ “รัฐบาลปูแดง”ขณะนี้เหมือน “หมาจนตรอก" ที่ถูกฝั่งตรงข้ามไล่ต้อนเข้ามุม หากไม่สู้ ก็รอวัน“ตาย”อย่างเดียว
ดังนั้นหาก"ยิ่งลักษณ์-นายใหญ่-ลิ่วล้อ"ไม่คิดสู้ คงต้องสูญเสียอำนาจที่หวังครอบครองอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นแน่
และทางสู้ของคนเครือข่ายชินวัตรในกระดานการเมืองครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นการใช้กำลังเข้าห้ำหั่น เพราะไม่มี “อาวุธ”ก็ไม่มี “เครื่องมือ”ที่จะใช้ได้แล้ว
**สถานการณ์ประเทศไทยนับวันรอ “สงคราม”อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้