รายงานการเมือง
สถานการณ์ของ “เครือข่ายชินวัตร” เวลานี้ถูกต้อนเข้า “มุมอับ” ไม่มีทางให้เลือกเดินมากนัก หลายเรื่องหลายประเด็นทั้งกรรมเก่า-กรรมใหม่ รอขึ้นเขียงเชือดได้ทุกเพลา
จนบรรดา “กุนซือ-ลิ่วล้อ-สมุน-คนเสื้อแดง” ออกมาบ่นกันเกือบทุกวัน เพราะแทบจะไม่มีทางให้เดินต่อ
แม้รูจะ “หายใจ” ก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน
คาถาเลือกตั้ง 2 ก.พ. ที่ท่องกันขึ้นก็ส่อแท้งก่อนคลอด เมื่อ “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยให้สามารถเลื่อนเลือกตั้งออกไปได้ โดยให้ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” กับ “รัฐบาล” ไปหารือในรายละเอียด
โดย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะเป็นตัวแทนของ “ระบอบทักษิณ” เข้าหารือกับ “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” (กกต.) ถึงความเป็นไปได้-วิธีการ ในการเลื่อนการเลือกตั้งในวันที่ 28 ม.ค.นี้
งานนี้ผลจะออกมาอย่างไรคงต้องลุ้นกันตัวโก่ง
แต่ก่อนถึงวันนัดหมายหารือ “คนเครือข่ายชินวัตร” ทั้ง “รัฐบาล-คนเสื้อแดง-นักวิชาการแดง” ต่างออกมาแสดงจุดยืนกันแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่ “รัฐบาล” จะยอมอ่อนข้อให้กับ “ศาลรัฐธรรมนูญ-กกต.” ด้วยการเลื่อนการเลือกตั้ง
เพราะยังยึดติดขอเอาหลังพิงแอบอิงกับกับข้อ “กฎหมาย” ทั้งที่ผ่านมา “คนเครือข่ายชินวัตร” ไม่เคยเคารพ “กฎหมาย” เลยแม้แต่น้อย
จ้องที่จะฉีกกฎหมายสูงสุด “รัฐธรรมนูญ” เสียด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามี “กฎหมาย” ช่องไหนที่เป็นผลประโยชน์ “คนเครือข่ายชินวัตร” ก็พร้อมที่จะอิงแอบ เพื่อเอาตัวช่วยก็เป็นพอ
หนำซ้ำยังจินตนาการว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” ขุดหลุมพรางล่อให้ “คนเครือข่ายชินวัตร” ตกหลุม เพราะมีบทเรียนมาแล้วกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้แก้ไขรายมาตราได้ แต่เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” เสนอแก้รายมาตรา ก็วินิจฉัยว่าเป็นความผิด
กระนั้น “คนเครือข่ายชินวัตร” ลืมมองไปว่า คำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เป็นการกระทำผิดของ “ส.ส.เพื่อไทย” ทั้งหมด เช่น การเสียบบัตรแทน การปิดกั้นไม่ให้ “ฝ่ายค้าน” แปรญัตติ เป็นต้น
มองทางตรงกันข้าม “คนเครือข่ายชินวัตร” กลัวสะดุดขาตัวเอง มากกว่าตกหลุมพรางของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ถ้า “คนเครือข่ายชินวัตร” ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ก็ยากที่องค์กรไหนจะหาช่องทางมาเล่นงาน
ฝั่ง กกต.ออกมาแสดงจุดยืนขาเดียวไม่ต่างกันว่า ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในสภาวะที่บ้านเมืองสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงได้
ที่สำคัญหากจัดการเลือกตั้ง โดยที่ยังไม่มีอะไรรับรองได้ว่าบ้านเมืองจะไม่วุ่นวาย เป็นการฝืนกระแส จนอาจจะทำให้ประเทศสูญเสียงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์
ต่างฝ่ายต่างแข็งข้อไม่ยอมลดราวาศอกลง การหาจุดร่วมที่จะตกลงกำหนดกรอบวันเลือกตั้งกันใหม่ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
แต่ดูเหมือน “คนเครือข่ายชินวัตร” นอกจากจะมี “ศัตรู” เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังต้องเสีย “คนเคยรัก-เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข” อีกต่างหาก
โดยเฉพาะในรายของ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ที่ออกตัวแรงสมดังฉายา "ปลาไหลติดสเก็ตซ์" ซึ่ง “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” ที่ปรึกษาพรรคได้รับมอบหมายจาก “บรรหาร ศิลปอาชา” ผู้มีบารมีตัวจริง มาแถลงจุดยืนยอมรับคำพิพากษา “ศาลรัฐธรรมนูญ”
เพราะตามสไตล์ “ปลาไหล” ยี่ห้อ “บรรหาร” แล้ว ในยามที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ต้องออกตัวให้เป็นกลางไว้ก่อน ไม่ยอมแทงหวยเลือกข้าง ให้มีคนชนะก่อน “บรรหาร” ถึงจะเลือก
เมื่อ “ค่ายสุพรรณฯ” แบะท่ายอมให้เลื่อนเลือกตั้ง “เพื่อไทย” จึงอยู่ในสภาพถูกโดดเดี่ยว ลอยคอเคว้งขว้างในทะเล เวลานี้เหมือนสู้อยู่เพียงพรรคเดียว
ผนวกกับคดีของ “เพื่อไทย” ในชั้น “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” (ป.ป.ช.) ในคดีโครงการรับจำนำข้าว คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาส.ว. และ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ในคดีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เป็นต้น ใกล้ถึงขั้นตอนตัดสินเต็มแก่
รวมกับการชุมนุมของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการกปปส. ที่นับวันยิ่งมีความทวีพลานุภาพขึ้น ผนวกกับการประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ยิ่งเปิดทางให้มีความรุนแรง โดยเฉพาะ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ที่มีบัตรผ่านในการเข้าสลายการชุมนุม
แม้ฉากหน้า “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ” (ศรส.) ที่นำโดย “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ผอ.ศรส. จะยืนยันว่าไม่มีการสลายการชุมนุม แต่ฉากหลังยังมีการบ่งการให้ “ชายชุดดำ” ก่อเหตุความรุนแรงหลายครั้ง ซึ่งเป้าหมายหลักขณะนี้คือ “กลุ่มเครือข่ายนักศึกษา ประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย” (คปท.) ที่ถูกตามล่าเกือบทุกวัน
แหล่งข่าวจาก “หน่วยงานความมั่นคง” วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ตอนนี้สภาพรัฐบาลหลังพิงฝา เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา เป็นผลเสียต่อรัฐบาลมาก ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามยื้อไม่ให้เกิดความรุนแรง เพราะหวังว่าหากมีการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ทุกอย่างจะคลี่คลาย
“จากนี้ต้องรอดูว่าการหารือระหว่าง กกต.กับรัฐบาลจะออกมาอย่างไร หากยังยืนยันว่าจะเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.สถานการณ์การชุมนุมจะรุนแรงกว่าเดิม และหาก กกต.ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น เพราะรัฐบาลไม่มีทางออกอื่น”
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ “รัฐบาลปูแดง” ขณะนี้เหมือน “หมาจนตรอก" ที่ถูก “ฝั่งตรงข้าม” ไล่ต้อนเข้ามุม หากไม่สู้ก็รอวัน “ตาย” อย่างเดียว
ดังนั้น หาก “ยิ่งลักษณ์-นายใหญ่-ลิ่วล้อ” ไม่คิดสู้ คงต้องสูญเสีย “อำนาจ” ที่หวังอยากครอบครองอีกครั้งเป็นแน่
และทางสู้ของ “คนเครือข่ายชินวัตร” ในหมากกระดานการเมืองครั้งนี้ คงหนีไม่พ้นการใช้กำลังเข้าห้ำหั่น เพราะไม่มี “อาวุธ” ก็ไม่มี “เครื่องมือ” ที่จะใช้ได้แล้ว
สถานการณ์ประเทศไทยนับวันรอ “สงคราม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้