ASTVผู้จัดการรายวัน – ตลาดอีเวนต์ร่วงต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 10%ในปีนี้ หากการเมืองยังไม่นิ่ง “อินเด็กซ์”เมินตลาดไทย โฟกัสพม่า ลดเสี่ยง ผุดบริษัทใหม่ “ ไอซีเว็กซ์”รุกงานแฟร์ เตรียมจัด 6 งานรวดในปีนี้ หวังดันรายได้พม่าสู่ 250 ล้านบาทในสิ้นปี ส่งรายได้รวมอินเด็กซ์ทรงตัวเท่าปีที่ผ่านมา
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอีเวนต์มูลค่า 13,500 ล้านบาท ปีนี้มองว่าน่าจะตกลงต่อเนื่องอีก 10% จากปีก่อนที่ตกลงจากปี 55ไปแล้ว 20% ส่วนสำคัญมาจากปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจไม่ดีตามมา และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงเรื่องของดิจิตอลทีวี ที่ส่งผลต่อนักการตลาดให้ต้องรอดูและวางแผนการใช้งบโฆษณาใหม่
โดยพบว่าขณะนี้มีงานอีเวนต์แบบอินเตอร์เนชั่นแนลได้เลื่อนกำหนดจัดงานออกไปบ้างแล้ว ส่วนอีเว้นท์ของไทยยังไปได้ดีอยู่ ในส่วนของอินเด็กซ์เองพบว่า งานอินเตอร์เนชั่นแนลอีเวนต์ถูกเลื่อนไปกว่า 5% ส่วนของไทยยังเป็นไปตามแผนเดิม
“ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นค่อนข้างหนักใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าไตรมาสแรกนี้ตลาดอีเวนต์จะตกลงไปมากแค่ไหน เพราะเพิ่งผ่านมาได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เชื่อว่าทั้งปีน่าจะตกลงไปไม่ต่ำกว่า 10% เช่นเดียวกับอินเด็กซ์ที่มองว่า ยอดงานอีเวนต์ในประเทศน่าจะลดลง ส่วนรายได้รวมทั้งปีนั้น เชื่อว่าจะสามารถทำได้ทรงตัวเท่าปีที่ผ่านมา หากการเมืองจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือต้องรอดูสถานการณ์แบบวันต่อวัน เช่น ในวันนี้ ( 28 ม.ค. ) กับการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร หากมีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.นี้จริง เชื่อว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายลง หรือหากเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เชื่อว่าการชุมนุมก็ยังคงอยู่ต่อไปเช่นกัน เป็นต้น ขณะที่รายได้ในปีก่อนนั้นคาดว่าจะเติบโตตามแผนที่วางไว้”
อย่างไรก็ตามทางบริษัทพร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงกับตลาดในประเทศ ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเทศพม่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ข้อ คือ 1.งานอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง 2.งานด้านการจัดเฟสทีฟ อีเวนต์ 3. งานด้านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านงานวิจัย 4.การสร้างช่องว่างในการสื่อสารแบบผสมผสาน และ5. การจัดงานแฟร์ และเอ็กซิบิชั่นทุกรูปแบบ
ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 5 บริษัท คือ 1.บริษัท เมียนมาร์ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟวิลเลจ จำกัด 2. บริษัท อีเว้นท์ โซลูชั่น จำกัด 3.บริษัท ฟอร์เอฟเวอร์ อีเว้นท์ โซลูชั่น จำกัด4. บริษัท เอ็นไวโรเซล และล่าสุดได้เปิดบริษัทใหม่ที่ 5 คือ บริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด (ICVeX) ให้บริการในด้านการบริหารจัดการงานแสดงสินค้า
โดยปีนี้เตรียมจัดงานขึ้นทั้งหมด 6 งาน คือ 1. งานมหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ ในเดือนต.ค.นี้ 2.งานมหากรรมครบเครื่องเรื่องโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง ในเดือนก.ค.นี้ 3. งานเทศกาลอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติในเดือนก.ค.นี้ 4. งานมหกรรมความรู้และการศึกษาในเดือนส.ค.นี้ 5. งานเพื่อสุขภาพ อาหารและยา ในเดือนส.ค. และ 6.งานมหกรรมที่อยู่อาศัยและของตกแต่งบ้าน ในเดือนก.ย.นี้ เชื่อว่าจะส่งผลให้รายได้จากพม่าปีนี้เพิ่มเป็น 250 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 100 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากไอซีเว็กซ์กว่า 60%
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า การลงทุนทั้ง 5 บริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ใช้งบไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท บางบริษัทสามารถคืนทุนได้ทันที บางบริษัทต้องใช้ระยะเวลา โดยในปีนี้เตรียมเปิดอีก 1-2 บริษัทในพม่า เนื่องจากพม่ามีโอกาสและกำลังเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด ส่วนประเทศอื่นๆในอาเซียนกำลังเจรจากันอยู่ ทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนในเวียดนามนั้น จะเน้นการเติบโตต่อยอดธุรกิจในไทย และซัพพรอตลูกค้าในไทยเป็นหลัก โดยจะเน้นหาพาร์ทเนอร์เข้าร่วมธุรกิจมากขึ้น มองว่าทั้งปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะอยู่ที่ 10-15% ของรายได้รวมทั้งหมด และภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนที่ 50% เท่ากับรายได้ในประเทศ โดยกว่า 40-50% ของรายได้ต่างประเทศนั้นจะมาจากประเทศพม่าเป็นหลัก
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอีเวนต์มูลค่า 13,500 ล้านบาท ปีนี้มองว่าน่าจะตกลงต่อเนื่องอีก 10% จากปีก่อนที่ตกลงจากปี 55ไปแล้ว 20% ส่วนสำคัญมาจากปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจไม่ดีตามมา และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงเรื่องของดิจิตอลทีวี ที่ส่งผลต่อนักการตลาดให้ต้องรอดูและวางแผนการใช้งบโฆษณาใหม่
โดยพบว่าขณะนี้มีงานอีเวนต์แบบอินเตอร์เนชั่นแนลได้เลื่อนกำหนดจัดงานออกไปบ้างแล้ว ส่วนอีเว้นท์ของไทยยังไปได้ดีอยู่ ในส่วนของอินเด็กซ์เองพบว่า งานอินเตอร์เนชั่นแนลอีเวนต์ถูกเลื่อนไปกว่า 5% ส่วนของไทยยังเป็นไปตามแผนเดิม
“ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นค่อนข้างหนักใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยยังไม่สามารถกล่าวได้ว่าไตรมาสแรกนี้ตลาดอีเวนต์จะตกลงไปมากแค่ไหน เพราะเพิ่งผ่านมาได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่เชื่อว่าทั้งปีน่าจะตกลงไปไม่ต่ำกว่า 10% เช่นเดียวกับอินเด็กซ์ที่มองว่า ยอดงานอีเวนต์ในประเทศน่าจะลดลง ส่วนรายได้รวมทั้งปีนั้น เชื่อว่าจะสามารถทำได้ทรงตัวเท่าปีที่ผ่านมา หากการเมืองจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ หรือต้องรอดูสถานการณ์แบบวันต่อวัน เช่น ในวันนี้ ( 28 ม.ค. ) กับการเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร หากมีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.นี้จริง เชื่อว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายลง หรือหากเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เชื่อว่าการชุมนุมก็ยังคงอยู่ต่อไปเช่นกัน เป็นต้น ขณะที่รายได้ในปีก่อนนั้นคาดว่าจะเติบโตตามแผนที่วางไว้”
อย่างไรก็ตามทางบริษัทพร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดให้ความสำคัญกับตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงกับตลาดในประเทศ ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะประเทศพม่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ข้อ คือ 1.งานอีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง 2.งานด้านการจัดเฟสทีฟ อีเวนต์ 3. งานด้านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านงานวิจัย 4.การสร้างช่องว่างในการสื่อสารแบบผสมผสาน และ5. การจัดงานแฟร์ และเอ็กซิบิชั่นทุกรูปแบบ
ภายใต้บริษัทในเครือกว่า 5 บริษัท คือ 1.บริษัท เมียนมาร์ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟวิลเลจ จำกัด 2. บริษัท อีเว้นท์ โซลูชั่น จำกัด 3.บริษัท ฟอร์เอฟเวอร์ อีเว้นท์ โซลูชั่น จำกัด4. บริษัท เอ็นไวโรเซล และล่าสุดได้เปิดบริษัทใหม่ที่ 5 คือ บริษัท ไอซีเว็กซ์ จำกัด (ICVeX) ให้บริการในด้านการบริหารจัดการงานแสดงสินค้า
โดยปีนี้เตรียมจัดงานขึ้นทั้งหมด 6 งาน คือ 1. งานมหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ ในเดือนต.ค.นี้ 2.งานมหากรรมครบเครื่องเรื่องโรงแรม ร้านอาหาร และการจัดเลี้ยง ในเดือนก.ค.นี้ 3. งานเทศกาลอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติในเดือนก.ค.นี้ 4. งานมหกรรมความรู้และการศึกษาในเดือนส.ค.นี้ 5. งานเพื่อสุขภาพ อาหารและยา ในเดือนส.ค. และ 6.งานมหกรรมที่อยู่อาศัยและของตกแต่งบ้าน ในเดือนก.ย.นี้ เชื่อว่าจะส่งผลให้รายได้จากพม่าปีนี้เพิ่มเป็น 250 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 100 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้น มาจากไอซีเว็กซ์กว่า 60%
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า การลงทุนทั้ง 5 บริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ใช้งบไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท บางบริษัทสามารถคืนทุนได้ทันที บางบริษัทต้องใช้ระยะเวลา โดยในปีนี้เตรียมเปิดอีก 1-2 บริษัทในพม่า เนื่องจากพม่ามีโอกาสและกำลังเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วที่สุด ส่วนประเทศอื่นๆในอาเซียนกำลังเจรจากันอยู่ ทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนในเวียดนามนั้น จะเน้นการเติบโตต่อยอดธุรกิจในไทย และซัพพรอตลูกค้าในไทยเป็นหลัก โดยจะเน้นหาพาร์ทเนอร์เข้าร่วมธุรกิจมากขึ้น มองว่าทั้งปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะอยู่ที่ 10-15% ของรายได้รวมทั้งหมด และภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนที่ 50% เท่ากับรายได้ในประเทศ โดยกว่า 40-50% ของรายได้ต่างประเทศนั้นจะมาจากประเทศพม่าเป็นหลัก