ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยร่วง 26 จุด ตามทิศทางตลาดอื่นทั่วโลก นักลงทุนแห่ขายลดความเสี่ยงก่อนเฟดเริ่มประชุม เหตุกังวลเริ่มปรับลดวงเงินในมาตรการQE3 โบรกฯแนะจับตาดาวโจนส์ หากลงไม่แรง มีโอกาสเห็นหุ้นไทยรีบาวนด์
ดัชีตลาดหุ้นไทย วานนี้(27ม.ค.) ปรับตัวในแดนลบต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 1,288.59 จุด ลดลง 26.04 จุด หรือลดลง 1.98% มูลค่าการซื้อขาย 27,606.04 ล้านบาท วัน ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,298.06 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ระดับ 1,287.35 จุด
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ หลังจากตลาดสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลงแรง ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า เป็นการเทขายททำกำไร ลดความเสี่ยงก่อนประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าอาจปรับลดขนาดของวงเงินในมาตรการ QE3 อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากการเมืองของประเทศ จากวันก่อนเกิดความรุนแรงระหว่างผู้ที่เห็นต่าง นำไปสู่การปะทะและมีผู้เสียชีวิต
โดย นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,356.97 ล้านบาท เช่นเดียวกับกับสถายันที่ขายสุทธิ 1,342.90 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 3,981.62 ล้านบาทและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 718.25 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 163 หลักทรัพย์ ลดลง 621 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 114 หลักทรัพย์ และหลักทรัพย์ที่มูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,788.14 ล้านบาท ปิดที่ 175.00 บาท ลดลง 0.50 บาท , KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,811.46 ล้านบาท ปิดที่ 171.50 บาท ลดลง 4.00 บาท , ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,414.46 ล้านบาท ปิดที่ 210.00 บาท ลดลง 5.00 บาท , PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,201.58 ล้านบาท ปิดที่ 72.00 บาท ลดลง 2.00 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,157.93 ล้านบาท ปิดที่ 161.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันมาก โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียปรับตัวลงไปราว 3% ซึ่งเช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯที่ปรับตัวลงกว่า 300 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา อันเนื่องมาจากความกังวลใน Emerging Market ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการลดขนาด QE3 ทำให้มีแรง take profit ออกมา อีกทั้งยังมีความวุ่นวายทางการเมืองในบางประเทศด้วย รวมทั้ง Flow ไหลออกมาก ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูแย่ลง จากที่เมื่อวันอาทิตย์ 26ม.ค.มีการเลือกตั้งล่วงหน้า และได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นตลาดฯจึงอ่อนตัวลงเรื่อย ๆ จนหลุด 1,300 จุด
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.อาร์เอชบี โอเอสเค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯและตลาดในยุโรปที่ได้ปรับตัวลงแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
“มองว่าเป็นแรง take profit เพื่อลดความเสี่ยงในตลาดเกิดใหม่(Emerging Market)ก่อนการประชุมธนาคารสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ ซึ่งต่างมีความวิตกกังวลว่าอาจจะมีการลดขนาด QE อีกรอบ อีกทั้งตลาดบ้านเรายังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมืองอยู่ ซึ่งในวันนี้(28ม.ค.)ทางกกต.จะหารือกับฝั่งรัฐบาลในประเด็นการเลื่อนเลือกตั้ง ซึ่งก็จะต้องติดตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งต้องจับตาดูดัชนีดาวโจนส์ หากปรับตัวลดลงไม่มากหรืออยู่แดนบวก ก็มีโอกาสเห็นหุ้นไทย และภูมิภาครีบาวนด์ขึ้นมาได้บ้าง โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 1,280 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,300 จุด”
ดัชีตลาดหุ้นไทย วานนี้(27ม.ค.) ปรับตัวในแดนลบต่อเนื่อง โดยปิดที่ระดับ 1,288.59 จุด ลดลง 26.04 จุด หรือลดลง 1.98% มูลค่าการซื้อขาย 27,606.04 ล้านบาท วัน ระหว่างวันดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,298.06 จุด ส่วนจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ระดับ 1,287.35 จุด
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลง ในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ หลังจากตลาดสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลงแรง ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า เป็นการเทขายททำกำไร ลดความเสี่ยงก่อนประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งหลายฝ่ายกังวลว่าอาจปรับลดขนาดของวงเงินในมาตรการ QE3 อีกทั้งยังได้รับแรงกดดันจากการเมืองของประเทศ จากวันก่อนเกิดความรุนแรงระหว่างผู้ที่เห็นต่าง นำไปสู่การปะทะและมีผู้เสียชีวิต
โดย นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 3,356.97 ล้านบาท เช่นเดียวกับกับสถายันที่ขายสุทธิ 1,342.90 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 3,981.62 ล้านบาทและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 718.25 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 163 หลักทรัพย์ ลดลง 621 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 114 หลักทรัพย์ และหลักทรัพย์ที่มูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,788.14 ล้านบาท ปิดที่ 175.00 บาท ลดลง 0.50 บาท , KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,811.46 ล้านบาท ปิดที่ 171.50 บาท ลดลง 4.00 บาท , ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,414.46 ล้านบาท ปิดที่ 210.00 บาท ลดลง 5.00 บาท , PTTGC มูลค่าการซื้อขาย 1,201.58 ล้านบาท ปิดที่ 72.00 บาท ลดลง 2.00 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,157.93 ล้านบาท ปิดที่ 161.00 บาท ลดลง 4.00 บาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันมาก โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียปรับตัวลงไปราว 3% ซึ่งเช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯที่ปรับตัวลงกว่า 300 จุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพราะนักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา อันเนื่องมาจากความกังวลใน Emerging Market ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการลดขนาด QE3 ทำให้มีแรง take profit ออกมา อีกทั้งยังมีความวุ่นวายทางการเมืองในบางประเทศด้วย รวมทั้ง Flow ไหลออกมาก ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายในประเทศในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองที่ดูแย่ลง จากที่เมื่อวันอาทิตย์ 26ม.ค.มีการเลือกตั้งล่วงหน้า และได้มีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นตลาดฯจึงอ่อนตัวลงเรื่อย ๆ จนหลุด 1,300 จุด
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.อาร์เอชบี โอเอสเค(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯและตลาดในยุโรปที่ได้ปรับตัวลงแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
“มองว่าเป็นแรง take profit เพื่อลดความเสี่ยงในตลาดเกิดใหม่(Emerging Market)ก่อนการประชุมธนาคารสหรัฐฯ(เฟด)ในวันที่ 28-29 ม.ค.นี้ ซึ่งต่างมีความวิตกกังวลว่าอาจจะมีการลดขนาด QE อีกรอบ อีกทั้งตลาดบ้านเรายังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมืองอยู่ ซึ่งในวันนี้(28ม.ค.)ทางกกต.จะหารือกับฝั่งรัฐบาลในประเด็นการเลื่อนเลือกตั้ง ซึ่งก็จะต้องติดตามดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งต้องจับตาดูดัชนีดาวโจนส์ หากปรับตัวลดลงไม่มากหรืออยู่แดนบวก ก็มีโอกาสเห็นหุ้นไทย และภูมิภาครีบาวนด์ขึ้นมาได้บ้าง โดยประเมินแนวรับอยู่ที่ 1,280 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 1,300 จุด”
