เอเอฟพี/เอพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯแถลงเมื่อวันพุธ (18) จะเริ่มต้นลดระดับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลงเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า หลังพบเห็นการฟื้นตัวในเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเพื่อหนุนการฟื้นตัวต่อไป ทั้งนี้เหตุผลของการฟื้นตัวนี้เองที่ปัดเป่าความกังวลของนักลงทุนเป็นผลให้วอลล์สตรีทพุ่งแรงจนทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่ ส่วนทองคำก็บวก ขณะที่น้ำมันขึ้นเล็กน้อย จากข้อมูลคลังเชื้อเพลิงสำรองของอเมริกา
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ระบุในถ้อยแถลงหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันพุธ (18) ว่าทางเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนเหลือเดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไป ลดลงจากการเข้าซื้อเดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงราว 1 ปีที่ผ่านมา ในความพยายามกดให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลดต่ำลงเพื่อกระตุ้นการเติบโตและการจ้างงาน
“เนื่องจากมีพัฒนาการมากขึ้นในการมุ่งสู่การจ้างงานสูงสุดและในแนวโน้มของการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดของสภาวะตลาดแรงงาน ทางคณะกรรมการจึงตัดสินใจลดระดับอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงเล็กน้อย” FOMC ระบุในถ้อยแถลง
หากไม่นับรวมการตัดลดรายจ่่ายของรัฐบาลกลางแล้ว ทางคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดบอกว่านับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเข้าซื้อพันธบัตรปัจจุบัน พวกเขาพบเห็นการฟื้นตัวอย่างมั่นคงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสภาวะของตลาดแรงงาน ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ด้วยการเติบโตนั้นตอกย้ำถึงความเข้มแข็งในเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง
ขณะเดียวกัน ทางเฟดยังได้ประมาณการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ ด้วยคาดคะเนว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) น่าจะเติบโตระหว่างร้อยละ 2.8 ถึง 3.2 จากเดิมที่เคยประมาณการไว้เมื่อเดือนกันยายนว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.9-3.1 ส่วนในตลาดแรงงานนั้น ประมาณการณ์ว่าอัตราคนว่างงานที่อยู่ในระดับร้อยละ 7.0 ในปัจจุบัน จะลดลงสู่ระดับระหว่างร้อยละ 6.3-6.6 ในช่วงสิ้นปีหน้า ดีขึ้นจากการคาดคะเนคราวก่อนว่าจะอยู่ราวๆร้อยละ 6.4-6.8
นอกจากนี้แล้ว ก็เป็นไปตามคาดหมายว่าเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำที่ 0.0 ถึง 0.25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราที่คงมาเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคง
การปรับลดโครงการเข้าซื้อพันธบัตรสู่เดือนละ 75,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะเป็นก้าวย่างเล็กๆแต่ก็มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนั่นหมายความว่าเหล่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด ได้ส่งสัญญาณพร้อมผ่อนคลายมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจพิเศษนี้นับตั้งแต่ภาวะถดถอยรุนแรงเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน
โรเบิร์ต เพอร์ลี อดีตนักเศรษฐศาสตร์ของเฟด ซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายทางการเงินของคอร์เนอร์สโคน มาร์โก ให้ความเห็นว่า “ความเคลื่อนไหวนี้ได้กำจัดความไม่แน่นอนว่าเฟดจะลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อไหร่และมากน้อยแค่ไหน และเปิดโอกาสให้ตลาดเพ่งเล็งไปยังประเด็นที่แท้จริงอื่นๆ นั้นคือแนวโน้มของเศรษฐกิจ” อย่างไรก็ตาม นายเพอร์ลี เน้นว่าเฟดยังไม่ได้ถอนการสนับสนุนเศรษฐกิจไปเสียทั้งหมด ด้วยการยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในประวัติศาสตร์เอาไว้
เบื้องต้นถ้อยแถลงของธนาคารสหรัฐฯ ฉุดให้วอลล์สตรีทขยับลงทันทีหลังจากทราบข่าว อย่างไรก็ตาม จากนั้นก็ดีดตัวขึ้นแรง ด้วยดาวโจนส์ปิดบวกกว่า 200 จุด ทุบสถิติสูงสุดตลอดกาลรอบใหม่เช่นเดียวกับเอสแอนด์พี เนื่องจากในการตัดสินใจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด ได้อ้างเหตุผลถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 292.71 จุด (1.84 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 16,167.97 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 29.65 จุด (1.66 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,810.65 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 46.38 จุด (1.15 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,070.06 จุด
นักลงทุนเฝ้ารออย่างกังวลมานานหลายเดือนว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะแข็งแกรงพอที่จะเติบโตเองโดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากเฟดหรือไม่ และการขยับขึ้นของตลาดในช่วงบ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้เป็นอย่างดี “นักลงทุนต่างเห็นว่ามติลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจคือการโหวตเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ” คริสตินา ฮูเฟอร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์การลงทุนของอัลลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์สกล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยนี้ส่งผลให้ราคาทองคำวานนี้ (18) ปิดบวกแค่เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนคาดหมายมานานแล้วว่าเฟดจะลดระดับการเข้าซื้อพันธบัตรแค่เล็กน้อย เหลือแค่คำถามที่ว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่เท่านั้น โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 4.90 ดอลลาร์ (0.4 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,235.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านราคาน้ำมันวานนี้ (18) ขยับขึ้นพอสมควร หลังรายงานคลังเชื้อเพลิงสหรัฐฯ บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่งภายในชาติผู้บริโภครายใหญ่แห่งนี้
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 58 เซ็นต์ ปิดที่ 97.80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.19 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมีขึ้นหลังจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 13 ธันวาคม ลดลงถึง 2.9 ล้านบาร์เรล เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ถึง 200,000 บาร์เรล