ASTVผู้จัดการรายวัน-ตรุษจีนปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร คาดเงินสะพัด 4.77 หมื่นล้านบาท โต 5.9% เหตุราคาสินค้าแพง และคนห่วงปัญหาการเมืองในประเทศ เผยหากเป็นช่วงปกติ น่าจะโตได้ 8-10% ระบุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่กระทบเศรษฐกิจ เว้นแต่เกิดความรุนแรง คาดเศรษฐกิจปีนี้โต 3-4%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-21 ม.ค.2557 พบว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ จะมีเงินจากการใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 47,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากตรุษจีนปีก่อนที่มีการใช้จ่าย 45,081 ล้านบาทถือว่าคึกคักกว่าปีก่อนเล็กน้อย เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจับจ่ายใช้สอยตรุษจีนปีนี้เพิ่มขึ้น เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องเซ่นไหว้ เช่น หมู เป็ด ไก่ ปลา ผลไม้ และเหล้า ขณะที่บางส่วนจะใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องการลดค่าใช้จ่ายลงมา เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองขาดเสถียรภาพ และรายได้ลดลง
”ตรุษจีนปีนี้คึกคักมากกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยบรรยากาศการใช้จ่ายในต่างจังหวัดยังเป็นปกติ ยกเว้นในกรุงเทพฯ ที่อาจไม่คึกคักโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะมีการปิดกรุงเทพฯ ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ตรุษจีนปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 8-10% และมูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านบาท”นายธนวรรธน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงสถานการณ์การปิดกรุงเทพฯ จะส่งผลต่อการใช้จ่ายตรุษจีนมากน้อยเพียงใด ผู้ตอบส่วนใหญ่เห็นว่ากระทบปานกลาง และเชื่อว่าปัญหาการเมืองขณะนี้จะหนักน้อยกว่าปี 2553 แต่หากยืดเยื้อ จะกระทบต่อการบริโภค เศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ประเทศ โดยมองว่า บรรยากาศขณะนี้ยังมืดมน แต่เชื่อว่าจะสามารถหาทางออกได้
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ศูนย์ฯ ยังประเมินความเสียหายจากการปิดกรุงเทพฯ อยู่ที่วันละ 700-1,000 ล้านบาท หรืออาทิตย์ละ 5,000-10,000 ล้านบาท ส่วนความเสียหายจากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่อาทิตย์ละ 5,000-7,000 ล้านบาท ส่วนการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากสถานการณ์การเมืองยังไม่รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก และยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ราว 3-4% เช่นเดิม
“เชื่อว่า ในระหว่างการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือนนี้ จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดลง ยกเว้นหากเกิดผลทางจิตวิทยาในเชิงลบของนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ เช่น สถานทูตหลายประเทศประกาศเตือนนักท่องเที่ยวมาไทยมากขึ้น หรือเพิ่มระดับความรุนแรงของการเดินทางมาไทย”นายธนวรรธน์กล่าว
+++สำหรับกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 3 เสียงนั้น เห็นว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จึงไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะค่าเงินบาทยังทรงตัวอยู่ที่ไม่เกิน 33 บาท/เหรียญสหรัฐฯ แสดงว่ายังไม่มีเงินไหลออกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งตลาดหุ้นลดลงไม่มาก
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่สำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 1,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 16-21 ม.ค.2557 พบว่า เทศกาลตรุษจีนปีนี้ จะมีเงินจากการใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 47,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9% จากตรุษจีนปีก่อนที่มีการใช้จ่าย 45,081 ล้านบาทถือว่าคึกคักกว่าปีก่อนเล็กน้อย เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจับจ่ายใช้สอยตรุษจีนปีนี้เพิ่มขึ้น เพราะราคาสินค้าแพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องเซ่นไหว้ เช่น หมู เป็ด ไก่ ปลา ผลไม้ และเหล้า ขณะที่บางส่วนจะใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องการลดค่าใช้จ่ายลงมา เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี การเมืองขาดเสถียรภาพ และรายได้ลดลง
”ตรุษจีนปีนี้คึกคักมากกว่าปีก่อนเล็กน้อย โดยบรรยากาศการใช้จ่ายในต่างจังหวัดยังเป็นปกติ ยกเว้นในกรุงเทพฯ ที่อาจไม่คึกคักโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะมีการปิดกรุงเทพฯ ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์วุ่นวายทางการเมือง ตรุษจีนปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 8-10% และมูลค่าเกือบ 5 หมื่นล้านบาท”นายธนวรรธน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงสถานการณ์การปิดกรุงเทพฯ จะส่งผลต่อการใช้จ่ายตรุษจีนมากน้อยเพียงใด ผู้ตอบส่วนใหญ่เห็นว่ากระทบปานกลาง และเชื่อว่าปัญหาการเมืองขณะนี้จะหนักน้อยกว่าปี 2553 แต่หากยืดเยื้อ จะกระทบต่อการบริโภค เศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยว และภาพลักษณ์ประเทศ โดยมองว่า บรรยากาศขณะนี้ยังมืดมน แต่เชื่อว่าจะสามารถหาทางออกได้
นายธนวรรธน์กล่าวว่า ศูนย์ฯ ยังประเมินความเสียหายจากการปิดกรุงเทพฯ อยู่ที่วันละ 700-1,000 ล้านบาท หรืออาทิตย์ละ 5,000-10,000 ล้านบาท ส่วนความเสียหายจากการท่องเที่ยวจะอยู่ที่อาทิตย์ละ 5,000-7,000 ล้านบาท ส่วนการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากสถานการณ์การเมืองยังไม่รุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก และยังมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ราว 3-4% เช่นเดิม
“เชื่อว่า ในระหว่างการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือนนี้ จะไม่ทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดลง ยกเว้นหากเกิดผลทางจิตวิทยาในเชิงลบของนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างชาติ เช่น สถานทูตหลายประเทศประกาศเตือนนักท่องเที่ยวมาไทยมากขึ้น หรือเพิ่มระดับความรุนแรงของการเดินทางมาไทย”นายธนวรรธน์กล่าว
+++สำหรับกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 3 เสียงนั้น เห็นว่า เป็นเพราะเศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง จึงไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะค่าเงินบาทยังทรงตัวอยู่ที่ไม่เกิน 33 บาท/เหรียญสหรัฐฯ แสดงว่ายังไม่มีเงินไหลออกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งตลาดหุ้นลดลงไม่มาก
