**เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการจัดเสวนาสาธารณะ เพื่อนำมาสู่ความสงบสุขและผลประโยชน์ของประเทศชาติ โดย “บิ๊กเจี๊ยบ - พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร”ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) เป็นเจ้าภาพ มี ผบ.เหล่าทัพ ร่วมรับฟัง
ซึ่งมี “สุเทพ เทือกสุบรรณ”คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นแขกคนสำคัญ
ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง ในกองบัญชาการกองทัพไทย สุเทพได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เสมือนแขกวีไอพีคนหนึ่ง ทุกถ้อยคำที่ “บิ๊กเจี๊ยบ”เรียกชื่อ สุเทพขึ้นต้นด้วยคำว่า “พี่”ทุกคำ ถือเป็นการให้เกียรติที่แฝงไปด้วยนัยยะที่มีพลัง
**ปฏิบัติการ “หน้าฉาก”การพูดคุยช่วยแรก สุเทพเหมือนฉายหนังซ้ำ ไล่เรียงประเด็นข้อเรียกร้องให้ ผบ.เหล่าทัพได้รับรู้ เพื่อทำความเข้าใจถึงโรดแมปของ กปปส.
เซียนการเมืองอย่างสุเทพ ผ่านเวทีมาเยอะ จังหวะการพูดมีทั้งรับ-รุก-รุกฆาต ตามจังหวะโอกาสความเหมาะสมที่ สุเทพพอจะกำหนดเกมได้
เนื่องจากการพูดคุยครั้งนี้ สุเทพ ยอมรับเองว่า “ผิดคิว”เพราะใจจริงแล้วอยากพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ เป็นการส่วนตัวมากกว่า แต่ สุเทพ ก็พอเข้าใจเหตุผลที่ ผบ.เหล่าทัพ ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นเวทีเสวนา
“กปปส.”รู้ดีว่าภายใน กองทัพ มีทั้งสายแดง-สายเหลือง หากย่องเข้าพบ ผบ.เหล่าทัพ ก็ยากที่จะปิดข่าวให้มิด ทุกรู ทุกประตูของกองทัพ มีสายสืบ-สายลับ ของฝั่งตรงข้ามอยู่เกือบทุกตรอกซอกซอย
ซึ่งประเมินกันแล้วว่าอาจจะเป็น “ผลเสีย” กับ กองทัพมากกว่า เพราะจะทำให้บรรดา “สมุนแดง”นำไปขยายผล ด่าทอกองทัพ ปลุกมวลชนของตัวเองได้ง่ายขึ้น
ยิ่งตัว “พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” ปลัดกระกลาโหม ซึ่งรู้กันดีว่า เป็นสายตรง “นายกฯปู”ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ ดูแล้วผบ.เหล่าทัพ ก็คิดแบบนั้น ถึงไม่ให้ขึ้นเวทีร่วมแถลงข่าว หลังจากจบการเสวนา
ที่สำคัญขนาดยังไม่มีเรื่องจริงเกี่ยวกับ กองทัพ สมุน “นายใหญ่”อย่าง “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ก็เอาไปพูดเป็นตุเป็นตะ ให้เห็นกันแล้ว
ฉะนั้นทุกฝีก้าวที่ กปปส. จะเข้าไปเกี่ยวพันกับกองทัพ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีทุกสายตาจับจ้องอยู่
**สัญญาณจากสุเทพที่ส่งตรงไปถึง ผบ.เหล่าทัพ มีหลายคำพูดที่มีทำนองเชื้อเชิญให้กองทัพ ออกมา “ปฏิวัติ”
โดย สุเทพตอกย้ำว่า เมื่อก่อนบ้านเมืองเลวร้ายขนาดนี้ ทหารทำ “ปฏิวัติ”แต่ก็เข้าใจ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นทหารสมัยใหม่ แต่ว่า ผบ.เหล่าทัพ เลือกได้
“วันนี้ถ้าข้าราชการยืนข้างประชาชน เรื่องจบทันที นี่ผมไม่ได้บีบบังคับนะครับ แต่ถ้าท่านตัดสินใจได้เร็ว ประชาชนก็จะออกมาแซ่ซ้อง ท่านเป็นวีรบุรุษของประชาชน”
**เสมือน สุเทพการันตีให้ ผบ.เหล่าทัพฟังว่าการ “ปฏิวัติ” ทำได้ และ ประชาชนจะออกมายกย่องให้เป็นวีรบุรุษอีกครั้ง
ทว่า“หน้าฉาก”แม้ สุเทพจะการันตีอย่างไร คำยืนยันจากปาก ผบ.เหล่าทัพ เกี่ยวกับการ ปฏิวัติ จึงไม่มีทางหลุดออกมา ดังนั้นเมื่อสุเทพ ส่งสารออกไปแล้ว ก็ต้องรอท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพ อีกระยะหนึ่ง
ส่วนปฏิบัติการหลังฉาก เริ่มมีตัวละครจากหนังเรื่องเดิมโผล่ขึ้นมาให้เห็นทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยเฉพาะการจัดเวทีพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ ครั้งนี้ ปรากฏชื่อของ “พล.อ.วินัย ภัททิยกุล”อดีตปลัดกลาโหม และอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั่นเพราะ สุเทพพูดบนเวที กปปส.ว่า ได้มอบหมายให้ “สกลธี ภัททิยกุล”เป็นคนมอบหนังสื่อให้ “พล.อ.ธนะศกดิ์”
เป็นที่รู้กันว่า สกลธี คือลูกของพล.อ.วินัย และเป็นที่รู้กันว่า พล.อ.วินัย คือ “พี่ชายคนสนิท” ของพล.อ.ธนะศักดิ์ เพราะทั้ง 2 คน โตมาจากการเป็นนายทหารคนสนิทของ “พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก”อดีต ผบ.ทบ.
จึงไม่แปลกที่ สุเทพจะใช้ “สกลธี” เดินเกมผ่านพล.อ.วินัย ให้ช่วยเปิดทางนำมาสู่การพบปะพูดคุยครั้งนี้
นอกจากนี้ หากย้อนภาพคณะปฏิวัติ 19 ก.ย. พล.อ.วินัย เป็นมือไม้สำคัญคนหนึ่ง เปรียบเสมือน “มือขวา”มี “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”อดีต ผบ.ทบ.เป็น “มือซ้าย”ของ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน”ในยามนั้น
เพราะ พล.อ.วินัย เป็นคนร่างระเบียบข้อกำหนด คนจัดแจงดีลกับฝ่ายการเมือง คอยวางตัวนักกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ คอยจัดแจงเรื่องการวางแผนการยึดอำนาจ คอยดำเนินการเรื่องกำลังพล
ทั้ง พล.อ.วินัย และ พล.อ.อนุพงษ์ ทำงานสอดประสานกันเบื้องหลังจน “ปฏิวัติดอกกุหลาบ”สำเร็จมาแล้ว
ดังนั้นการโผล่มามีส่วนจัดฉากการพูดคุยใน “ทางลับ”ของ พล.อ.วินัย ถือว่าไม่ธรรดมา ข่าวคราวการ “ปฏิวัติ”ในช่วงหลังจากนี้นับวันยิ่งหนาหูขึ้นทุกวัน
** และนี่คือเหตุผลที่กุนซือเครือข่ายชินวัตร ต้องกัน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ออกห่าง กทม.เท่าไร ยิ่งดี เพื่อไม่ให้ “ขั้วตรงข้าม”รู้พิกัดที่อยู่ของยิ่งลักษณ์
เพราะหากทหาร ต้อง “ปฏิวัติ” บุคคลสำคัญที่ต้องถูกจับตัวก่อนใครเพื่อนหนีไม่พ้น ยิ่งลักษณ์ แม้จะอยู่ในตำแหน่งแค่รักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
จึงไม่แปลกที่ ยิ่งลักษณ์ จะเลือกเดินทางไปในเฉพาะพื้นที่สีแดง มีมวลชนคนเสื้อแดง คอยเป็นโล่กำบังให้ ยิ่งลักษณ์ จึงอยู่รอดปลอดภัย หนำซ้ำยังได้หาเสียงล่วงหน้าไปอีกทางหนึ่ง
** หลังจากนี้ต้องจับตาสัญญาณที่จะออกมาจาก “กองทัพ”ให้ดี เพราะนี่อาจจะเป็นทางออกเดียวที่ สุเทพเหลืออยู่
ซึ่งมี “สุเทพ เทือกสุบรรณ”คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) เป็นแขกคนสำคัญ
ตลอดเวลากว่า 2 ชั่วโมง ในกองบัญชาการกองทัพไทย สุเทพได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเอง เสมือนแขกวีไอพีคนหนึ่ง ทุกถ้อยคำที่ “บิ๊กเจี๊ยบ”เรียกชื่อ สุเทพขึ้นต้นด้วยคำว่า “พี่”ทุกคำ ถือเป็นการให้เกียรติที่แฝงไปด้วยนัยยะที่มีพลัง
**ปฏิบัติการ “หน้าฉาก”การพูดคุยช่วยแรก สุเทพเหมือนฉายหนังซ้ำ ไล่เรียงประเด็นข้อเรียกร้องให้ ผบ.เหล่าทัพได้รับรู้ เพื่อทำความเข้าใจถึงโรดแมปของ กปปส.
เซียนการเมืองอย่างสุเทพ ผ่านเวทีมาเยอะ จังหวะการพูดมีทั้งรับ-รุก-รุกฆาต ตามจังหวะโอกาสความเหมาะสมที่ สุเทพพอจะกำหนดเกมได้
เนื่องจากการพูดคุยครั้งนี้ สุเทพ ยอมรับเองว่า “ผิดคิว”เพราะใจจริงแล้วอยากพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ เป็นการส่วนตัวมากกว่า แต่ สุเทพ ก็พอเข้าใจเหตุผลที่ ผบ.เหล่าทัพ ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นเวทีเสวนา
“กปปส.”รู้ดีว่าภายใน กองทัพ มีทั้งสายแดง-สายเหลือง หากย่องเข้าพบ ผบ.เหล่าทัพ ก็ยากที่จะปิดข่าวให้มิด ทุกรู ทุกประตูของกองทัพ มีสายสืบ-สายลับ ของฝั่งตรงข้ามอยู่เกือบทุกตรอกซอกซอย
ซึ่งประเมินกันแล้วว่าอาจจะเป็น “ผลเสีย” กับ กองทัพมากกว่า เพราะจะทำให้บรรดา “สมุนแดง”นำไปขยายผล ด่าทอกองทัพ ปลุกมวลชนของตัวเองได้ง่ายขึ้น
ยิ่งตัว “พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” ปลัดกระกลาโหม ซึ่งรู้กันดีว่า เป็นสายตรง “นายกฯปู”ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ ดูแล้วผบ.เหล่าทัพ ก็คิดแบบนั้น ถึงไม่ให้ขึ้นเวทีร่วมแถลงข่าว หลังจากจบการเสวนา
ที่สำคัญขนาดยังไม่มีเรื่องจริงเกี่ยวกับ กองทัพ สมุน “นายใหญ่”อย่าง “ไอ้ตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ก็เอาไปพูดเป็นตุเป็นตะ ให้เห็นกันแล้ว
ฉะนั้นทุกฝีก้าวที่ กปปส. จะเข้าไปเกี่ยวพันกับกองทัพ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีทุกสายตาจับจ้องอยู่
**สัญญาณจากสุเทพที่ส่งตรงไปถึง ผบ.เหล่าทัพ มีหลายคำพูดที่มีทำนองเชื้อเชิญให้กองทัพ ออกมา “ปฏิวัติ”
โดย สุเทพตอกย้ำว่า เมื่อก่อนบ้านเมืองเลวร้ายขนาดนี้ ทหารทำ “ปฏิวัติ”แต่ก็เข้าใจ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นทหารสมัยใหม่ แต่ว่า ผบ.เหล่าทัพ เลือกได้
“วันนี้ถ้าข้าราชการยืนข้างประชาชน เรื่องจบทันที นี่ผมไม่ได้บีบบังคับนะครับ แต่ถ้าท่านตัดสินใจได้เร็ว ประชาชนก็จะออกมาแซ่ซ้อง ท่านเป็นวีรบุรุษของประชาชน”
**เสมือน สุเทพการันตีให้ ผบ.เหล่าทัพฟังว่าการ “ปฏิวัติ” ทำได้ และ ประชาชนจะออกมายกย่องให้เป็นวีรบุรุษอีกครั้ง
ทว่า“หน้าฉาก”แม้ สุเทพจะการันตีอย่างไร คำยืนยันจากปาก ผบ.เหล่าทัพ เกี่ยวกับการ ปฏิวัติ จึงไม่มีทางหลุดออกมา ดังนั้นเมื่อสุเทพ ส่งสารออกไปแล้ว ก็ต้องรอท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพ อีกระยะหนึ่ง
ส่วนปฏิบัติการหลังฉาก เริ่มมีตัวละครจากหนังเรื่องเดิมโผล่ขึ้นมาให้เห็นทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยเฉพาะการจัดเวทีพูดคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ ครั้งนี้ ปรากฏชื่อของ “พล.อ.วินัย ภัททิยกุล”อดีตปลัดกลาโหม และอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั่นเพราะ สุเทพพูดบนเวที กปปส.ว่า ได้มอบหมายให้ “สกลธี ภัททิยกุล”เป็นคนมอบหนังสื่อให้ “พล.อ.ธนะศกดิ์”
เป็นที่รู้กันว่า สกลธี คือลูกของพล.อ.วินัย และเป็นที่รู้กันว่า พล.อ.วินัย คือ “พี่ชายคนสนิท” ของพล.อ.ธนะศักดิ์ เพราะทั้ง 2 คน โตมาจากการเป็นนายทหารคนสนิทของ “พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก”อดีต ผบ.ทบ.
จึงไม่แปลกที่ สุเทพจะใช้ “สกลธี” เดินเกมผ่านพล.อ.วินัย ให้ช่วยเปิดทางนำมาสู่การพบปะพูดคุยครั้งนี้
นอกจากนี้ หากย้อนภาพคณะปฏิวัติ 19 ก.ย. พล.อ.วินัย เป็นมือไม้สำคัญคนหนึ่ง เปรียบเสมือน “มือขวา”มี “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”อดีต ผบ.ทบ.เป็น “มือซ้าย”ของ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน”ในยามนั้น
เพราะ พล.อ.วินัย เป็นคนร่างระเบียบข้อกำหนด คนจัดแจงดีลกับฝ่ายการเมือง คอยวางตัวนักกฎหมายเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ส่วน พล.อ.อนุพงษ์ คอยจัดแจงเรื่องการวางแผนการยึดอำนาจ คอยดำเนินการเรื่องกำลังพล
ทั้ง พล.อ.วินัย และ พล.อ.อนุพงษ์ ทำงานสอดประสานกันเบื้องหลังจน “ปฏิวัติดอกกุหลาบ”สำเร็จมาแล้ว
ดังนั้นการโผล่มามีส่วนจัดฉากการพูดคุยใน “ทางลับ”ของ พล.อ.วินัย ถือว่าไม่ธรรดมา ข่าวคราวการ “ปฏิวัติ”ในช่วงหลังจากนี้นับวันยิ่งหนาหูขึ้นทุกวัน
** และนี่คือเหตุผลที่กุนซือเครือข่ายชินวัตร ต้องกัน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ออกจากพื้นที่เสี่ยงภัย ออกห่าง กทม.เท่าไร ยิ่งดี เพื่อไม่ให้ “ขั้วตรงข้าม”รู้พิกัดที่อยู่ของยิ่งลักษณ์
เพราะหากทหาร ต้อง “ปฏิวัติ” บุคคลสำคัญที่ต้องถูกจับตัวก่อนใครเพื่อนหนีไม่พ้น ยิ่งลักษณ์ แม้จะอยู่ในตำแหน่งแค่รักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
จึงไม่แปลกที่ ยิ่งลักษณ์ จะเลือกเดินทางไปในเฉพาะพื้นที่สีแดง มีมวลชนคนเสื้อแดง คอยเป็นโล่กำบังให้ ยิ่งลักษณ์ จึงอยู่รอดปลอดภัย หนำซ้ำยังได้หาเสียงล่วงหน้าไปอีกทางหนึ่ง
** หลังจากนี้ต้องจับตาสัญญาณที่จะออกมาจาก “กองทัพ”ให้ดี เพราะนี่อาจจะเป็นทางออกเดียวที่ สุเทพเหลืออยู่