ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่การเมืองไทยเลยทีเดียวสำหรับการชุมนุมเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน ภายใต้ชื่อ กปปส. หรือ กลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล กวาดล้างระบอบทักษิณ และมีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ให้หลุดพ้นจากการปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ของนักการเมือง ซึ่งเกลายป็นวงจรอุบาทว์ที่ฝังรากลึกในผืนแผ่นดินไทย เนื่องเพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าสนใจหลายประการ และนับเป็นความมหัศจรรย์ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึง
-1-
มวลชนทุบสถิติ ทุกการชุมนุมในไทย
กล่าวได้ว่าไม่เคยมีการชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทยครั้งใดที่ผู้คนจะหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน จากทั่วทุกสารทิศเหมือนเช่นการชุมนุมของ กปปส. โดยเฉพาะในวันที่ 24 พ.ย.2556 ซึ่งมีมวลมหาประชาชนออกมาแสดงตนว่าต้องกาปฏิรูปประเทศไทย ขับไล่ระบอบทักษิณถึง 2 ล้านคน ล้นจากถนนราชดำเนินไปยังพื้นที่โดยรอบสุดลูกหูลูกตา ตามด้วยการนัดระดมมวลมหาประชาชนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนมวลชนสูงสุดทุบทุกสถิติทุกการชุมนุมในประเทศไทย และอาจจะในโลกเสียด้วยซ้ำไป โดยมวล มหาประชาชนเดินเท้ามุ่งตรงสู่ทำเนียบรัฐบาลอย่างมืดฟ้ามัวดิน
อีกทั้งยังเป็นการเคลื่อนขบวนโดยการเดินเท้านับสิบกิโลฯ เพื่อประกาศเจนารมณ์ของประชาชนทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯนั้นเป็นดั่งสงคราม 9 ทัพที่ตบเท้าเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลอันเป็นกล่องดวงใจของคณะรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่าเป็น 'กบฏ' เพราะคำประกาศไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จึงปรากฏภาพมวลมหาประชาชนเดินชูธงชาติไทยไปบนถนนทุกเส้น ไม่ว่าจะเป็นแจ้งวัฒนะ วิภาวดี ราชวิถี รัชโยธิน พญาไท เอกมัย สุขุมวิท เพชรบุรีตัดใหม่ จรัลสนิทวงศ์ เยาวราช เจริญกรุง อุรุพงษ์ ราชดำเนิน พิษณุโลก ฯลฯ ล้วนคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่ที่แต่งตัวด้วยสัญลักษณ์แถบสีธงชาติไทย เสียงนกหวีดและมือตบดังสนั่นไปทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ยิ่งไปกว่านั้นภาพของมวลมหาประชาชนกว่า 5 ล้านที่เคลื่อนขบวนขับไล่รัฐบาลอย่างสันติอหิงสาได้สร้างความประหลาดใจให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลก ด้วยเป็นภาพที่ไม่เคยปรากฏในประเทศใดว่าขบวนการโค่นล้มรัฐบาลจะออกมาเดินเท้ากันด้วยความสงบ !!
-2-
รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ
การชุมนุมขับไล่รัฐบาลครั้งนี้ ได้เกิดปรากฎการณ์ 'รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ' เป็นมวลชนแนวหน้าที่กล้าบุก กล้ายึด กล้าลุย แบบไม่กลัวอันตราย กล้าเดินลุยแก๊สน้ำตา ฝ่ากระสุนยางเข้าไปรื้อลวดหนามและแนวแบริเออร์ โดยส่วนใหญ่จะอยุ่ภายใต้การเคลื่อนพลของ คปท.(เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย) ที่มี 'ทนายนิติธร ล้ำเหลือ' ที่ปรึกษา คปท. เจ้าของวลี "รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ" เป็นแกนนำ และกองทัพธรรม ที่นำโดย 'แซมดิน เลิศบุศย์' ซึ่งในส่วนของ คปท.นั้นนอกจากจะมีมวลชนใจถึงแล้วยังได้ 'นักศึกษาอาชีวะ' เข้ามาเสริมทีมเป็นแนวหน้ากล้าตาย มวลชนกลุ่มนี้จะทำหน้าที่บุกตะลุยเปิดทางก่อนที่พี่น้องประชาชนจะเคลื่อนตามเข้าไปชุมนุมในพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่สำคัญยังเป็นการเคลื่อนพลโดยสงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ใช้วิธีคล้องแขนเดินชนตำรวจปราบจลาจลที่มีทั้งโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ขณะเดียวกันก็มีมวลชนลักษณะนี้ที่ทำหน้าที่เป็นแนวหน้ากล้าลุยในส่วนของมวลชนราชดำเนินเช่นกัน แม้จะไม่ห้าวหาญเท่าแต่ก็ 'ใจถึง' ไม่แพ้กัน
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่เป็นไอดอลปลุกกระแส 'ร้องเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ' ก็คือ 'นิติธร ล้ำเหลือ' หรือ 'ทนายนกเขา' ทนายสายเอ็นจีโอที่สถานการณ์นำพาให้ต้องมาเป็นผู้นำม็อบ ด้วยบุคลิกที่ 'ถึงลูกถึงคน กล้าชน ใจถึง' จึงสามารถปลุกให้มวลชนมีความมุ่งมั่นหึกเหิม ทนายนกเขาเลือกใช้ยุทธวิธี 'ตาต่อตา ฟันต่อฟัน' ควบคู่ไปกับการนำตัวบทกฎหมายมาใช้โต้กลับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังเช่นที่ปรากฏภาพหลักฐานการใช้ความรุนแรงต่างๆของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็น แกลลอนน้ำมันที่พบในโรงเรียนพาณิชย์พระนครหลังกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากพื้นที่ กระสุนหัวน็อต ภาพการยิงแก๊สน้ำตาแบบวิถีตรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่ง คปท.นำออกมาแถลงต่อสื่อมวลชน ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี่เองที่เป็นตัวบล็อกไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม
-3-
'ฮีโร่กางเกงใน' ขวัญใจผู้ชุมนุม
ท่ามกลางควันโขมงของแก๊สน้ำตาและห่ากระสุนยางที่เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมตลอดแนวแบริเออร์รอบทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดฮีโร่ผู้กล้า เจ้าของฉายา 'วีรบุรุษกางเกงใน' ที่ผู้คนพากันกล่าวถึงไปทั่วโลก ด้วยภาพของหนุ่มใหญ่ใจถึง กับ 'รองเท้าผ้าใบ และกางเกงในตัวเดียว' ที่วิ่งเข้าปะทะเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมถือถังดับเพลิงฉีดเข้าใส่หมายดับควันแก๊สน้ำตา ภาพดังกล่าวถูกถ่ายโดยช่างภาพต่างชาติและแชร์ส่งต่อกันด้วยความชื่นชม กระทั่งโด่งดังในโซเชียลมีเดีย และขนานนามเขาว่า “วีรบุรุษกางเกงใน” ขณะที่สื่อหนังสือพิมพ์ก็ต่างรุมสัมภาษณ์กันไม่ขาดสาย
ชื่อจริงของวีรบุรุษกางเกงในคนนี้คือ 'กบ' หรือ วีรชาติ เปรมกมล เป็นพนักงานขับรถสังกัดกรมสรรพากร เรียกได้ว่าเขาเป็น 'เสื้อแดงกลับใจ' จากที่เคยชื่นชอบทักษิณ ชินวัตร ถึงขั้นร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้ทักษิณ เมื่อปี 2553 แต่เมื่อได้รู้ได้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมของทักษิณซึ่งหลอกคนมาเจ็บมาตายเพื่อให้ตัวเองได้อำนาจ ประกอบกับรับไม่ได้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' กบจึงกลับใจและหันมาร่วมเคลื่อนไหวกับมวลชนฝ่ายต้านระบอบทักษิณ
ตอนนี้กบกลายเป็นขวัญใจมวลชน ใครที่มาร่วมชุมนุมต่างก็อยากถ่ายรูปกับ 'ฮีโร่กางเกงใน' เก็บไว้เป็นที่ระลึก กบออกจะเขินๆที่เขาใส่แต่กางเกงยีนส์เดินไปเดินมาเพราะมวลชนที่มาขอถ่ายรูปบอกว่าถ้าใส่เสื้อจะไม่เห็นรอยสักอันเป็นสัญลักษณ์ของฮีโร่คนนี้
-4-
ผนึกกำลังสถาบันการศึกษา
อีกปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือการชุมนุมโค่นระบอบทักษิณและปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้ก็คือความตื่นตัวของคณาจารย์และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆทั่วประเทศที่กล้าเปิดหน้าออกมาร่วมชุมนุมเคลื่อนไหว ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นภาพที่หายไปจากสังคมไทยนานแล้ว เพราะหลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 การออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักศึกษาก็เป็นไปอย่างบางเบา จนคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้นักศึกษาไม่สนใจการเมือง แต่การชุมนุมครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของรัฐอย่าง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ รามคำแหง นิด้า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฯลฯ มหาวิทยาลัยเอกชนอย่าง มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยคอการค้า รวมถึงมหาวิทยาลัยราชภัฎฯต่างๆ และบรรดาอาชีวะ ต่างก็ตบเท้าเข้าร่วมชุมนุมอย่างพร้อมเพรียง จนเกิดวาทะที่ว่า “ช่างกลเลิกตีกัน หันมาตีรัฐบาลแทน”
นอกจากนั้นยังมีพลังของศิษย์เก่าที่เป็นอีกกำลังหลักในการขับเคลื่อน ทำให้เกิดภาพการคลื่อนขบวนของนักศึกษาและศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยต่างๆนับหมื่นคน ที่ตบเท้าออกมาร่วมเคลื่อนไหวในการประกาศเคลื่อนพลครั้งใหญ่ของ กปปส. ในหลายครั้งที่ผ่านมา
-5-
ภาคธุรกิจตบเท้าร่วมขบวน
ทั้งนี้สิ่งที่แตกต่างไปจากการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้ง 4 ตุลาฯ16 - 6 ตุลาฯ 19 ช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ หรือการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็คือการออกมาเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจซึ่งครั้งนี้มีการรวมตัวกันเอย่างชัดเจนและเป็นปึกแผ่น ชนิดที่เรียกว่า 'เปิดหน้าสู้' กันทีเดียว เพราะโดยปกติแล้วนักธุรกิจมักจะเป็นกลุ่มที่ไม่อยากมีปัญหากับนักการเมือง ไม่ว่าขั้วไหนๆ จึงเลือกที่จะเก็บตัวไม่มีปากมีเสียง แต่หลังจากการชุมนุมภายใต้ยุทธศาสตร์ 'ปล้นแล้วเผา' ที่ราชประสงค์ของมวลชนคนเสื้อแดง ภายใต้การสนับสนุนของพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2553 ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรดานักธุรกิจอย่างหนัก โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ทำมาหากินอยู่ในย่านราชประสงค์และสีลม ก็ทำให้พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณเจอกับกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงจากนักธุรกิจเหล่านี้ เมื่อมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิงลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีปัญหาการคอร์รัปชั่นอย่างหนัก นักธุรกิจเหล่านี้จึงรวมตัวออกมาเคลื่อนไหว และกลายเป็นกำลังหลักในชุมชนเมืองที่มีพลังขับเคลื่อนสะท้านสะเทือนรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง ทั้งกำลังเงินและกำลังคนที่สามารถเรียกระดมพลหลักหมื่นออกมาชุมนุมและปิดล้อมสถานที่ราชการได้ภายในพริบตา แม้แต่หน่วยงานที่เป็นกำลังหลักของรัฐบาลอย่าง 'สำนักงานตำรวจแห่งชาติ' ก็ได้ประจักษ์กับสายตามาแล้ว
การชุมนุมครั้งนี้มีนักธุรกิจเปิดตัวเข้าร่วมอย่างมากมาย อาทิ สมพล เกียรติไพบูลย์ อดีตประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ , นายศรีวรา อิสสระ ประธานกรรมการ บริษัทชาญอิสระ , นายปิยะ ซอโสตถิกุล ซีอีโอบริษัทนันยาง และกรรมการบริหารห้างสรรพสินค้าซีคอน, นายสาธิต เซกัล นายกสมาคมธุรกิจอินเดีย-ไทย , วรสิทธิ์ อิสสะ และปาสาวี บุนนาค ผู้บริหารศรีพันวา ภูเก็ต , ภัทรินทร์ ลือกาญจนวนิช เจ้าของนิคมสินสาคร นอกจากนั้นยังมีนักธุรกิจรุ่นใหม่อย่าง 'ลูกนัท' ธนัท ธนากิจอำนวย ทายาทหมื่นล้าน แห่ง บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไม่เพียงแค่มาร่วมชุนนุมเท่านั้น ลูกนัทยังเป็นผู้นำทัพไปปิดล้อมกระทรวงพาณิชย์ และได้ทำสติกเกอร์ “กบฏ 56” ไปแจกย่านสยามเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกไปร่วมชุมนุมกับ กปปส.อีกด้วย
-6-
ศิลปินดาราเปิดหน้าสู้
ปรากฏการณ์ที่ศิลปินดารานักร้องต่างตบเท้าออกมาร่วมชุมนุมกันอย่างล้นหลามก็นับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา เพราะปกติแล้วศิลปินดารามักไม่กล้าเปิดตัวหรือร่วมเคลื่อนไหวในการชุมนุมไม่ว่าเป็นการชุมนุมของกลุ่มใด เนื่องจากเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน เพราะทางค่ายหรือทางช่องที่ตนเองรับงานอยู่อาจไม่พอใจเพราะเกรงว่าภาพที่ออกไปจะส่งผลกระทบต่อต้นสังกัดด้วย แต่การชุมนุมโค่นระบอบทักษิณ และปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้ กลับมีศิลปินดารา 'เปิดหน้า' เข้าร่วมชุมนุมอย่างมากมายชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้จัดละครอย่าง ธัญญา และพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง , ฉัตรชัย และสินจัย เปล่งพานิช , รัญญา ศิยานนท์ และ ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้บริหารเอ็กเซ็กท์ กลุ่มศิลปินดาราอย่าง เมทินี กิ่งพโยม , ชลดา เมฑราตรี ,ศักดิ์สิทธิ แท่งทอง , สมชาย เข็มกลัด , จินตรา สุขพัฒน์ล , สุเชาว์ พงษ์วิไล , เกรียงไกร อุณหะนันท์ , ปวันรัตน์ นาคสุริยะ , หยอง ลูกหยี , อาร์ต พลังธรรม กล่อมทองสุข , 'หยวน' นิธิชัย ยศอมรสุนทร ฯลฯ
กลุ่มนักร้อง อย่าง เจตริน และ 'ปิ่น' เก็จมณี วรรธนะสิน , อี๊ด วงฟลาย , 'ต๊ะ' ศตวรรษ เศรษฐกร , กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ รวมถึง 'โตโน่' ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ที่ควงคู่มากับหวานใจ 'แตงโม' ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ ซึ่งออกตัวแรงถึงขั้นไฮปาร์คด่ารัฐบาลบนเวทีราชดำเนินมาแล้วหลายครั้ง
แต่ที่น่าสังเกตคือกลุ่มศิลปินดาราที่มาร่วมชุมนุมมากที่สุดคือศิลปินที่มีงานละครป้อนสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทั้งๆที่โดยภาพรวมแล้วสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ถูกมองว่าเป็นสื่อที่ยืนข้างระบอบทักษิณ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวที่เนื้อหามักเอนเอียงไปทางรัฐบาลเพื่อไทย และโจมตีฝ่ายตรงข้าม
-7-
พลังสื่อออนไลน์
ปรากฏการณ์หนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ 'สื่อออนไลน์' ในโซเชียลเน็ตเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็น เฟสบุ๊ค ไลน์ หรือเครือข่ายเว็บเพจต่างๆ เนื่องเพราะเป็นสื่อที่รวดเร็วและทรงพลัง สามารถอุดช่องว่างจากกรณีที่ 'ฟรีทีวี' ส่วนใหญ่มุ่งเสนอข่าวเอาใจรัฐบาล ทำให้ข้อมูลหลายอย่างถูกบิดไปจากความเป็นจริง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในยุคไอที ยุคที่มือถือและไอแพดสามารถถ่ายรูปและใช้เงานแบบอินเตอร์เน็ตช่วยให้ความจริงต่างๆปรากฎต่อสาธารณชน วิชามารและความอำมหิตของรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้ระบอบทักษิณถูกแฉลากไส้ออกมาให้คนได้เห็น การแชร์ภาพชายชุดดำ การ์ดเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เล็งปืนเข้าใส่นักศึกษารามคำแหง ในคืนวันที่ 30 พ.ย. ซึ่งเกิดเหตุปะทะระหว่างนักศึกษารามฯและคนเสื้อแดงซึ่งมาชุมนุมที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน เป็นหลักฐานที่ชี้ชัดว่ารัฐบาลเพื่อไทยซึ่งเป็นเนื้อเดียวกับ นปช.ใช้อำนาจเถื่อนเข่นฆ่านักศึกษาสองมือเป่าอย่างโหดเหี้ยม , ภาพตำรวจภายในทำเนียบรัฐบาลพกอาวุธปืน เล็งยิงแก๊สน้ำตาแบบวิถีตรง และใช้หนังสติ๊กยิงหัวน็อตเข้าใส่ผู้ชุมนุม เป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าหน้าที่จงใจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามผู้ชุมนุม
ขณะที่ภาพมุมสูงที่มวลมหาประชาชนเรือนล้านเคลื่อนขบวนออกมาขับไล่รัฐบาลไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่ 24 พ.ย. และวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเลขผู้ชุมนุมอยู่ที่หลักล้าน ไม่ใช่หลักหมื่น หลักแสน อย่างที่ ศอ.รส.(ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการร์ฉุกเฉิน) ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลออกมาระบุ ซึ่งภาพความจริงเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุมได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ที่ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ ตบเท้าออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.มากขึ้น
-8-
แฟชั่นลายธงชาติมาแรง
ปรากฏการณ์ที่จะกล่าวถึงเป็นประเด็นสุดท้ายก็คือ 'แอกเซสซอรีลายธงชาติ' ที่ถูกนำมาใช้ในการชุมนุมครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลายธงชาติที่ปรากฏบน เสื้อยืด แว่นตา กิ๊บติดผม ที่คาดผม หมวก สายรัดข้อมือ ซึ่งผู้สันทัดกรณีชี้ว่า 'ลายธงชาติ' ที่ถูกนำมาใช้นั้นน่าจะเกิดจากกระแสความรักชาติที่ออกมาจากใจผู้ร่วมชุมนุม เป็นสัญลักษณ์การหลอมรวมกันเป็นหนึ่งของกลุ่มต่างๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันเพราะสาขาอาชีพ หรือเคยมีความบาดหมางจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ขณะที่ 'นกหวีด' และ 'มือตบ' ที่ผู้ชุมนุมใช้คู่กันเพื่อส่งสัญญาณประหนึ่งเสียงเชียร์ขณะชุมนุม ก็เป็นดั่งการประสานกันระหว่างสัญลักษณ์ของผู้ชุมนุมกลุ่มใหม่ ที่หมายรวมถึงประชาธิปัตย์ กับ 'พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' ซึ่งเป็นมวลชนที่เคลื่อนไหวมานานและเคยมีความรู้สึกบาดหมางกัน