การชุมนุมของกลุ่ม “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” (กปปส.) ณ เวลานี้ ยังไม่สิ้นเสียงนกหวีดเป่าหยุดเกมของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส.
การวางหมากเดินเกมของสุเทพ แม้มีหลายประเด็นที่ยากจะทำได้ แต่ก็มีการเคลื่อนไปข้างหน้าออกมาให้เห็นเหมือนขั้นตอนการเจรจาต่อรองกันระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ ยังไม่จบ แต่องคาพยบของ “นายใหญ่” เร่งสปีดเปลี่ยนจังหวะปรับโหมดไปสู่การเลือกตั้งแบบทันควัน
“นายใหญ่” รู้ดีว่าหากยื้อกับ กปปส. ออกไปเรื่อยๆ จะส่งผลเสียด้านภาพลักษณ์ หากเปลี่ยนมาเล่นเกมเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเกมที่ “คนเครือข่ายชินวัตร” ถนัดที่สุด เร็วมากขึ้นเท่าไร บรรดาลิ่วล้อนายใหญ่ จะได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น
จึงไม่แปลกที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศยุบสภาในวันที่ 9 ธันวาคม คล้อยหลังแค่ 3 วัน พรรคเพื่อไทย จัดขบวนวางกำลังพลสู้ศึกเลือกตั้งเบ็ดเสร็จเรียบร้อย และ “เพื่อไทย” วางยุทธศาสตร์ให้ ขุนพลฝีปากกล้าต่างออกมาการันตีว่าอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” หัวหน้าพรรค ซึ่งช่วงหลังขึ้นเวทีคนเสื้อแดง บ่อยครั้ง จนเกือบจะกลายร่างเป็น “แกนนำคนเสื้อแดง” คนหนึ่งไปแล้ว ออกมาตอบคำถามที่แสนจะตอบง่ายที่ว่า หากมวลชนไม่ยอมกลับบ้าน จะดำเนินการอย่างไร
**แต่ “บิ๊กคลองหลอด” กลับตอบแบบหาเรื่องให้พรรคว่า “มวลชนก็เลือกเอาว่า จะเอากระสุนปืน หรือการคืนอำนาจให้ประชาชน” คำพูดของ“กุ๊ยคลองหลอด” สะท้อนให้วุฒิภาวะของคนเครือข่ายชินวัตร ได้เป็นอย่างดี
แถมเป็นสัญญาณสะท้อนไปถึงแนวทางคนเสื้อแดงที่จะเล่นเกมแรง-เกมถ่อย ตามที่ "หัวหน้ากุ๊ย" ว่าไว้
การจัดทัพสู้ศึกของเพื่อไทย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมพรรควันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งมีจัดวางตำแหน่ง “หัวหน้าภาค” กันแล้ว พร้อมทำคู่มือการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
ตอนนี้ก็จะเหลือแค่วางตัวผู้เข้ารับสมัครทั้งระบบปาร์ตี้ลิสต์ และระบบเขตเท่านั้น เพราะการสู้ศึกเลือกตั้งที่มีเดิมพันสูง เพื่อไทย เร่งจัดขบวนรุก-รับ อย่างรัดกุมที่สุด ซึ่ง “มวลชน” หลักหนีไม่พ้นคนเสื้อแดง ที่ นายใหญ่ จะต้องกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
แม้จะมีบาดแผลให้เจ็บลึกกัน หลังจากที่ถูก นายใหญ่หักหลัง ผลักดัน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ฉบับสุดซอย นิรโทษให้ทั้ง“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”คู่แค้นของคนเสื้อแดง
แม้คนเสื้อแดงจะเจ็บปวดที่นายใหญ่ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาทรยศต่ออุดมการณ์ของคนเสื้อแดง แต่ฟันธงได้เลยว่าประเดี๋ยวคนเสื้อแดงก็ลืม
เจ็บบ่อยๆ คนเสื้อแดงชิน แต่ขอให้เจ็บแล้ว มีเหยื่อ มีของกำนัลส่งมาให้เป็น “น้ำทิพย์” คอยชโลมใจก็เป็นพอ เพียงเท่านี้คนเสื้อแดงก็จะยอมหันกลับไปเคารพบูชานายใหญ่ เหมือนเดิมในทันที
**ทิ้งความเจ็บปวดไว้ข้างหลัง สู้ถวายหัวให้นายใหญ่เหมือนดั่งเดิม
และยิ่งบรรดานักปราศรัย อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - จตุพร พรหมพันธุ์” ลงไปพูดโน้มน้าวใจสักหน่อยแฟนคลับ ก็ยิ่งคล้อยตาม
ตามด้วยการเกณฑ์บรรดา “หัวเชื้อท่อน้ำเลี้ยง” ลงพื้นที่ เดินทุกซอกออกทุกประตู ยิ่งได้ใจคนเสื้อแดง กลับคืนมาเร็วมากยิ่งขึ้น
ฐานเสียงของเพื่อไทย ส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคอีสาน-ภาคเหนือ ซึ่งถือเป็นพื้นที่หลักโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่เป็นพื้นที่ชี้ขาดแพ้-ชนะ มาเกือบทุกครั้ง
**หากเพื่อไทยยึดกุมพื้นที่ภาคอีสานได้อีก ชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อม
ส่วนกลไกรัฐที่เพื่อไทยยังถือว่ากุมอำนาจอยู่ สามารถเรียก-หยิบ มาใช้งานได้ตามสะดวกโยธิน แม้จะมีบรรดา “บิ๊กข้าราชการ” เป็นตัวแปรในยุคที่การเมืองไทยยังไม่นิ่งจริง
หาก “บิ๊กข้าราชการ” รู้จักรักษาเอาตัวรอด ก็ต้องออกลูกแทงกั๊กกันไว้ก่อน สถานการณ์การเมืองพลิกได้ทุกวินาที ไม่มีใครรู้ว่า นายกฯคนใหม่ จะชื่อเรียงเสียงไร
ดังนั้นหากจะไป “แทงหวย” รับใช้ ประเคนให้ทุกอย่าง อาจจะเสียอนาคตได้
แม้กระทั่งตำรวจ ที่ นายใหญ่ เชื่อมั่นมากว่า เลือกข้างเพื่อไทย แต่หากวิเคราะห์ลงไปในฐานรากแล้ว ยังมีอีกครึ่งค่อน สตช. ที่ไม่ได้เลือกข้างนี้ ด้วยสัญชาตญาณของ “ชาวสีกากี” ที่เปลี่ยนเร็วเป็นที่หนึ่ง
เพียงแต่มี “บิ๊กตำรวจ” เป็นคนของเพื่อไทยเลยออกอาการเกรงใจ
โดยเฉพาะบิ๊กตำรวจ ที่ชื่อ “อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผบ.ตร. “คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ผบช.น. ที่เป็นสายตรง นายใหญ่ ที่เหลือยังอยู่ในอาการ “แทงกั๊ก” เหมือนกัน
แต่ที่น่าจับตามากกว่าคือ ท่าทีของ “บิ๊กข้าราชการ” ทุกกระทรวง นำโดย “ธงทอง จันทรางศุ” ปลัดประจำสำนันายกรัฐมนตรี “อำพน กิตติอำพน” เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
ได้ออกมาแสดงท่าทีให้ “ฝ่ายการเมือง” แสดงความชัดเจนว่า จะจริงใจด้วยการทำสัญญาประชาคมว่าจะ “ปฏิรูปประเทศ” ในด้านใดบ้าง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะหากเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ก็จะทำได้ยาก
**พร้อมทั้งสำทับว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของ “ประเทศไทย” ???
ท่าทีของ “บิ๊กข้าราชการ” เที่ยวนี้ น่าจับตาว่าจะมี “พรรคการเมือง” ไหน นำไปปฏิบัติตามข้อเรียกร้องหรือไม่ เพราะหากพรรคไหนเอาไปทำเป็นสัญญาประชาคม ก็จะได้ “ข้าราชการ”ไปเป็นแนวร่วมที่มีน้ำหนักพอตัว
คำถามอยู่ที่ว่า “เพื่อไทย” จะกล้าหรือไม่ เพราะถ้าทำสัญญาประชาคมแล้ว ก็เสมือนบ่วงที่รัดคอหากชนะแล้วไม่ทำตามสัญญาประชาคม “เพื่อไทย” ก็จะถูกตราหน้าเป็นคนบาป
หากประเมินแนวร่วม-แรวรบ ของขุนพลนายใหญ่ แม้จะมีโอกาสชนะสูง เพราะยังยึดกุมพื้นที่ฐานเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องหันหน้ากลับไปพึ่งมิตรเก่าอย่าง“คนเสื้อแดง”
**“นายใหญ่” อยู่ในสภาพมิตรหายไม่ค่อยมีใครคบ เหมือนคนที่ถูกผลักให้อยู่ในตรอกซอกซอย เมื่อหา เพื่อน ไม่ได้ ก็ต้องกลับไปพึ่งคนที่ตัวเองคิดคดทรยศ อย่าง “คนเสื้อแดง”
การวางหมากเดินเกมของสุเทพ แม้มีหลายประเด็นที่ยากจะทำได้ แต่ก็มีการเคลื่อนไปข้างหน้าออกมาให้เห็นเหมือนขั้นตอนการเจรจาต่อรองกันระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ ยังไม่จบ แต่องคาพยบของ “นายใหญ่” เร่งสปีดเปลี่ยนจังหวะปรับโหมดไปสู่การเลือกตั้งแบบทันควัน
“นายใหญ่” รู้ดีว่าหากยื้อกับ กปปส. ออกไปเรื่อยๆ จะส่งผลเสียด้านภาพลักษณ์ หากเปลี่ยนมาเล่นเกมเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเกมที่ “คนเครือข่ายชินวัตร” ถนัดที่สุด เร็วมากขึ้นเท่าไร บรรดาลิ่วล้อนายใหญ่ จะได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น
จึงไม่แปลกที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประกาศยุบสภาในวันที่ 9 ธันวาคม คล้อยหลังแค่ 3 วัน พรรคเพื่อไทย จัดขบวนวางกำลังพลสู้ศึกเลือกตั้งเบ็ดเสร็จเรียบร้อย และ “เพื่อไทย” วางยุทธศาสตร์ให้ ขุนพลฝีปากกล้าต่างออกมาการันตีว่าอย่างไรก็ต้องมีการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” หัวหน้าพรรค ซึ่งช่วงหลังขึ้นเวทีคนเสื้อแดง บ่อยครั้ง จนเกือบจะกลายร่างเป็น “แกนนำคนเสื้อแดง” คนหนึ่งไปแล้ว ออกมาตอบคำถามที่แสนจะตอบง่ายที่ว่า หากมวลชนไม่ยอมกลับบ้าน จะดำเนินการอย่างไร
**แต่ “บิ๊กคลองหลอด” กลับตอบแบบหาเรื่องให้พรรคว่า “มวลชนก็เลือกเอาว่า จะเอากระสุนปืน หรือการคืนอำนาจให้ประชาชน” คำพูดของ“กุ๊ยคลองหลอด” สะท้อนให้วุฒิภาวะของคนเครือข่ายชินวัตร ได้เป็นอย่างดี
แถมเป็นสัญญาณสะท้อนไปถึงแนวทางคนเสื้อแดงที่จะเล่นเกมแรง-เกมถ่อย ตามที่ "หัวหน้ากุ๊ย" ว่าไว้
การจัดทัพสู้ศึกของเพื่อไทย เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมพรรควันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งมีจัดวางตำแหน่ง “หัวหน้าภาค” กันแล้ว พร้อมทำคู่มือการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว
ตอนนี้ก็จะเหลือแค่วางตัวผู้เข้ารับสมัครทั้งระบบปาร์ตี้ลิสต์ และระบบเขตเท่านั้น เพราะการสู้ศึกเลือกตั้งที่มีเดิมพันสูง เพื่อไทย เร่งจัดขบวนรุก-รับ อย่างรัดกุมที่สุด ซึ่ง “มวลชน” หลักหนีไม่พ้นคนเสื้อแดง ที่ นายใหญ่ จะต้องกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
แม้จะมีบาดแผลให้เจ็บลึกกัน หลังจากที่ถูก นายใหญ่หักหลัง ผลักดัน “พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” ฉบับสุดซอย นิรโทษให้ทั้ง“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”คู่แค้นของคนเสื้อแดง
แม้คนเสื้อแดงจะเจ็บปวดที่นายใหญ่ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาทรยศต่ออุดมการณ์ของคนเสื้อแดง แต่ฟันธงได้เลยว่าประเดี๋ยวคนเสื้อแดงก็ลืม
เจ็บบ่อยๆ คนเสื้อแดงชิน แต่ขอให้เจ็บแล้ว มีเหยื่อ มีของกำนัลส่งมาให้เป็น “น้ำทิพย์” คอยชโลมใจก็เป็นพอ เพียงเท่านี้คนเสื้อแดงก็จะยอมหันกลับไปเคารพบูชานายใหญ่ เหมือนเดิมในทันที
**ทิ้งความเจ็บปวดไว้ข้างหลัง สู้ถวายหัวให้นายใหญ่เหมือนดั่งเดิม
และยิ่งบรรดานักปราศรัย อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ - จตุพร พรหมพันธุ์” ลงไปพูดโน้มน้าวใจสักหน่อยแฟนคลับ ก็ยิ่งคล้อยตาม
ตามด้วยการเกณฑ์บรรดา “หัวเชื้อท่อน้ำเลี้ยง” ลงพื้นที่ เดินทุกซอกออกทุกประตู ยิ่งได้ใจคนเสื้อแดง กลับคืนมาเร็วมากยิ่งขึ้น
ฐานเสียงของเพื่อไทย ส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคอีสาน-ภาคเหนือ ซึ่งถือเป็นพื้นที่หลักโดยเฉพาะ ภาคอีสาน ที่เป็นพื้นที่ชี้ขาดแพ้-ชนะ มาเกือบทุกครั้ง
**หากเพื่อไทยยึดกุมพื้นที่ภาคอีสานได้อีก ชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อม
ส่วนกลไกรัฐที่เพื่อไทยยังถือว่ากุมอำนาจอยู่ สามารถเรียก-หยิบ มาใช้งานได้ตามสะดวกโยธิน แม้จะมีบรรดา “บิ๊กข้าราชการ” เป็นตัวแปรในยุคที่การเมืองไทยยังไม่นิ่งจริง
หาก “บิ๊กข้าราชการ” รู้จักรักษาเอาตัวรอด ก็ต้องออกลูกแทงกั๊กกันไว้ก่อน สถานการณ์การเมืองพลิกได้ทุกวินาที ไม่มีใครรู้ว่า นายกฯคนใหม่ จะชื่อเรียงเสียงไร
ดังนั้นหากจะไป “แทงหวย” รับใช้ ประเคนให้ทุกอย่าง อาจจะเสียอนาคตได้
แม้กระทั่งตำรวจ ที่ นายใหญ่ เชื่อมั่นมากว่า เลือกข้างเพื่อไทย แต่หากวิเคราะห์ลงไปในฐานรากแล้ว ยังมีอีกครึ่งค่อน สตช. ที่ไม่ได้เลือกข้างนี้ ด้วยสัญชาตญาณของ “ชาวสีกากี” ที่เปลี่ยนเร็วเป็นที่หนึ่ง
เพียงแต่มี “บิ๊กตำรวจ” เป็นคนของเพื่อไทยเลยออกอาการเกรงใจ
โดยเฉพาะบิ๊กตำรวจ ที่ชื่อ “อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผบ.ตร. “คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ผบช.น. ที่เป็นสายตรง นายใหญ่ ที่เหลือยังอยู่ในอาการ “แทงกั๊ก” เหมือนกัน
แต่ที่น่าจับตามากกว่าคือ ท่าทีของ “บิ๊กข้าราชการ” ทุกกระทรวง นำโดย “ธงทอง จันทรางศุ” ปลัดประจำสำนันายกรัฐมนตรี “อำพน กิตติอำพน” เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
ได้ออกมาแสดงท่าทีให้ “ฝ่ายการเมือง” แสดงความชัดเจนว่า จะจริงใจด้วยการทำสัญญาประชาคมว่าจะ “ปฏิรูปประเทศ” ในด้านใดบ้าง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพราะหากเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ก็จะทำได้ยาก
**พร้อมทั้งสำทับว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกของ “ประเทศไทย” ???
ท่าทีของ “บิ๊กข้าราชการ” เที่ยวนี้ น่าจับตาว่าจะมี “พรรคการเมือง” ไหน นำไปปฏิบัติตามข้อเรียกร้องหรือไม่ เพราะหากพรรคไหนเอาไปทำเป็นสัญญาประชาคม ก็จะได้ “ข้าราชการ”ไปเป็นแนวร่วมที่มีน้ำหนักพอตัว
คำถามอยู่ที่ว่า “เพื่อไทย” จะกล้าหรือไม่ เพราะถ้าทำสัญญาประชาคมแล้ว ก็เสมือนบ่วงที่รัดคอหากชนะแล้วไม่ทำตามสัญญาประชาคม “เพื่อไทย” ก็จะถูกตราหน้าเป็นคนบาป
หากประเมินแนวร่วม-แรวรบ ของขุนพลนายใหญ่ แม้จะมีโอกาสชนะสูง เพราะยังยึดกุมพื้นที่ฐานเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็ต้องหันหน้ากลับไปพึ่งมิตรเก่าอย่าง“คนเสื้อแดง”
**“นายใหญ่” อยู่ในสภาพมิตรหายไม่ค่อยมีใครคบ เหมือนคนที่ถูกผลักให้อยู่ในตรอกซอกซอย เมื่อหา เพื่อน ไม่ได้ ก็ต้องกลับไปพึ่งคนที่ตัวเองคิดคดทรยศ อย่าง “คนเสื้อแดง”