xs
xsm
sm
md
lg

นลท.จี้แก้การเมืองที่ต้นตอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ไพบูลย์”ชี้ภาพรวมวิกฤตการเมืองกดดันต่างชาติขายหุ้นไทย 1.7 แสนล้าน เท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลกปี2551 ชี้หลายตลาดในภูมิภาคที่เคยร่วงปรับตัวดีหมดแล้ว เหลือแต่ไทยที่ปัจจุบันควรอยู่ในระดับ 1,600 จุด มั่นใจหลังเหตุการณ์ยุติหุ้นพุ่งกระฉูด ระบุปัญหาการเมืองซ้ำซาก ต้องแก้ที่ต้นเหตุอย่างถาวร พร้อมย้ำเป้าหมายยังเดินหน้าดันเอาเอ็มอี และรัฐวิสาหกิจเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึง ผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น ต่อการลงทุนในตลาดทุนไทย ว่า ช่วง 2 สัปดาห์ที่เกิดเหตุการณ์รุนแรง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิไปถึง 5 หมื่นล้านบาท เท่ากับเมื่อช่วงตลาดหลักทรพัย์แห่งประเทศไทยได้รับผลกระทบจากความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) จะปรับลดเม็ดเงินอัดฉีดในมาตรากระตุ้นเศรษฐกิจ หรือ QE 3 เดือนมีเม็ดเงินไหลออกไปประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลออกจากตลาดทุนไทย จนถึง เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.พบว่ามีเม็ดเงินไหลออกไปเท่ากับเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์การเงินโลก หรือแฮมเบอร์เกอร์ไครซิสปี 2551 ซึ่งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดทุนไทยมากถึง 170,000 ล้านบาท ถือเป็นการสูญเสียของตลาดทุนไทยอีกครั้ง

“1 แสน 7 หมื่นล้านบาทถือว่าเยอะนะครับ และเมื่อเงินทุนไหลออกไปแล้ว ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะไหลกลับเข้ามา อย่างเงินทุนที่ไหลออกไปช่วงแฮมเบอร์เกอร์ไคลซิส ตั้งแต่ปี 2008 นี่ 2012 แล้วยังไหลกลับเข้ามาไม่หมด มาไหลออกไปช่วงกลางปี แล้วก็ไหลออกยาวมาถึงปัจจุบัน ถือเป็นการศูนย์เสียโอกาสอย่างน่าเสียดายมาก เพราะการสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมามันยากมาก” นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนสิ้นปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยจะสามารถกลับขึ้นไปยืนที่ 1,500 จุดได้หรือไม่ นายไพบูลย์ ระบุว่าต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมือง หากสามารถคลี่คลายลง ดัชนีก็จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้ตามความมั่นใจของนักลงทุน ทั้งนี้หากพิจารณาตามภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภูมิภาค จะเห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นหลายตลาดในภูมิภาคที่ปรับลงลงไปช่วงกลางปีพร้อมตลาดหุ้นไทย ต่างปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับปกติแล้ว ส่วนดัชนีหุ้นไทยก็ควรที่จะเคลื่อนไหวที่ 1,600 – 1,680 จุดได้แล้ว

“ดูสิ ดัชนีตลาดเพื่อนบ้านเขาปรับกลับขึ้นมายืนระดับเดียวกับช่วงก่อนหน้าความวิตกกรณีเฟดถอน ไม่ถอน QE กันหมดแล้ว มีตลาดหุ้นไทยนี่แหละที่ยังเทรดอยู่ 1,300 จุดอยู่เลย ทั้งทั้งที่ดัชนีช่วงนี้น่าจะขึ้นไปที่ 1600 – 1680 จุดได้แล้วเพราะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัวอย่างชัดเจนทั้งหมด แต่ก็มาถูกกดดันด้วยบรรยากาศการเมืองก็ต้องดูว่าถึงสิ้นปีจะคลี่คลายได้หรือไม่ เพราะหุ้นไทยฟื้นตัวได้เร็ว เห็นได้จากเมื่อมีชุมนุมเสื้อเหลืองปิดสนามบิน ดัชนีตกลงมา 7% หลังจากสถานการณ์คลี่คลายดัชนีก็ดีดกลับได้ถึง 25% กระทั่งชุมนุมของเสื้อแดงดัชนีปรับลดลง 10% เมื่อสถานการณ์คลี่คลายก็ดีดกลับทันที 27% ดังนั้นหากสถานการณ์คลี่คลายได้อย่างชัดเจนไม่กลับมาชุมนุมอีกดัชนีก็พร้อมที่จะปรับตัวขึ้น” นายไพบูลย์ กล่าว

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ตลาดทุนเป็นช่องทางการระดมทุนของผู้ประกอบธุรกิจที่มีต้นทุนต่ำที่สุด หากมีภาพความไม่แน่นอนทางการเมืองเข้ามากดดัน ราคาหุ้นก็จะไม่สะท้อนผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัท ถือเป็นการศูนย์เสียโอกาสทางการลงทุน อีกทั้งเป็นเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการพิจารณานำบริษัทของตนเองไปจดทะเบียนในตลาดหุ้นในประเทศอื่นอีกด้วย

“ตลาดทุนเป็นอะไรที่เปิดกว้าง ถ้าตลาดทุนเราไม่แข็งแรงพอ ไม่มีความมั่นคงบริษัทที่มีศักยภาพเขาก็ไปจดทะเบียนที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นหมด อย่างเช่นสิงคโปร์ มาเลเซีย หรือ ตลาดนิวยอร์คก็มีบริษัทผู้ประกอบธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ไทยเราไปจดทะเบียน ตลาดอื่นเขาก็พัฒนา ขณะที่ตลาดเราก็ไม่ได้รับการพัฒนา” นายไพบูลย์ กล่าว

ในส่วนของนักลงทุนมองว่าการแก้ไขปัญหาทางการเมืองตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ไม่มีการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนต่างชาติตั้งข้อสังเกตกว่าทุก 2 ปีการชุมนุมทางการเมืองจะกลับมา ทำให้เขาเลือกที่จะเข้ามาเก็งกำไรแล้วออกไป แต่ในลักษณะของการระดมทุนที่ดีแล้ว เงินทุนที่เข้ามาควรเป็นเงินลงทุนระยะยาวเพื่อให้ภาคธุรกิจนำเงินไปหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนเข้าไปในราคาหุ้น อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร อัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้

“ดูง่ายๆบริษัทในประเทศมาเลเซียเขาระดมทุนได้ที่อัตราดอกเบี้ย 3% แต่บริษัทไทยระดมทุนที่อัตราดอกเบี้ย 5% เราก็ทำธุรกิจสู้เขาไม่ได้แล้ว แค่นี้เราก็ส่งออกด้วยต้นทุนที่แพงกว่าเขาแล้วเท่าไหร่ แล้วมันก็สะท้อนที่ราคาหุ้นในตลาดด้วย ปัจจุบันก็มีหลายตัวที่ราคาต่ำกว่าผลประกอบการ แม้จะถือเป็นโอกาสของการเก็บของถูก แต่มองอีกมุมเราก็เสียโอกาสในการแข่งขันจึงอยากให้ทุกฝ่ายทีเกี่ยวข้องทางการเมืองหันหน้ามาแก้ไขปัญหากันอย่างถาวร” นายไพบูลย์ กล่าว

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวยืนยันว่า ภาคเอกชนยังคงเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ,การพัฒนาบริษัทผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม ที่มีศักยภาพเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และ การผลักดันให้นำรัฐวิสาหกิจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“ถ้ามองเรื่องเออีซี เราก็ไม่ด้อยไปกว่าใครเราเข้มแข็งมาก และเป็นศูนย์กลางที่มีศัยภาพ เพียงแค่ความที่เราไม่สามารถพัฒนาศัยภาพเราได้อย่างต่อเนื่องได้ทำให้ต่างชาติเขาลังเลที่จะเข้ามาลงทุน” นายไพบูลย์ กล่าวในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น