"ปึ้ง"บ้าอำนาจ เตรียมดำเนินคดีผู้บริหารบลูสกาย ฐานสนับสนุน"ม็อบเทือก" ผิดมาตรา 114 ไม่หวั่นเติมเชื้อไฟ เรียกแขก อ้างไม่ได้ปิดสถานี แย้มยังมีบริษัทห้างร้านอีกหลายแห่งต้องโดนด้วย รวมทั้งผู้ว่าฯกทม.ที่ให้ส้วม-น้ำดื่ม ก็ไม่เว้น มอบ"รมว.ยุติธรรม-ดีเอสไอ" ฟันเรียงตัว ลั่น"นายกฯปู"จะไม่หารือ"กบฏเทือก"อีกแล้ว หวั่นถูกข้อหาสมรู้ร่วมคิด สั่งทีมประชาสัมพันธ์แจงทำความเข้าใจนานาประเทศ พร้อมให้มหาดไทยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
เมื่อเวลา 16.45 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ สำนีกงานตำรวจแห่งชาติ ( ศอ.รส.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กำกับดูแล ศอ.รส. แถลงว่า วันนี้ตนได้นัดประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ หลังจากนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์จัดทำแผนและประสานงาน มีตนเป็นประธาน มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรณ รมว.มหาดไทย เป็นรองประธาน
นอกจากนี้จะมีคณะกรรมการด้านกฎหมาย มี รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน คณะกรรมการดูแลประชาชน มี รมว.มหาดไทย เป็นประธาน และคณะกรรมการด้านข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ มี รมว.ไอซีที เป็นประธาน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ได้มีข้อสรุปหลายประเด็น คือ
1. การดำเนินการของคณะทำงานที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ในแต่นี้ต่อไป ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก อย่างกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เป็นผู้ต้องหากบฏ ดังนั้นผู้สนับสนุนนายสุเทพ จะถือว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนผู้ที่เป็นกบฏ ต้อมีความผิดแน่นอนตาม ม.114 ต้องมีการใช้ข้อกฎหมายให้ชัดเจน ซึ่งได้กำชับ ผบ.ตร. ออกมาหมายจับผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งทางดีเอสไอ และ ผบ.ตร. คงทยอยออกหมายจับ
เชือดผู้บริหาร"บลูสกาย"
เมื่อถามว่า จะมีการอกอหมายจับเพิ่มเติมผู้สนับสนุนรายใดบ้าง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากการหารือ รายแรก คือ สถานีบลูสกาย แต่ไม่ใช่เป็นการปิดสถานี เพียงแต่ผู้บริหารบลูสกายนั้น ชัดเจนว่าให้ความสนับสนุน นายสุเทพ ผิด ม.114 ดังนั้นบลูสกาย จะต้องเจอหมายศาลอย่างแน่นอน ส่วนจะมีรายอื่นเข้ามาด้วยหรือไม่ คงต้อรอ จะมีการออกหมายจับเป็นระยะๆโดยจะเน้นที่แกนนำก่อน
สำหรับผู้ร่วมชุมนุม จะยังไม่พิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิด แต่จะเริ่มทยอยออกหมายจับ และเมื่อเราออกหมายศาลแล้ว มามอบตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มามอบตัว เมื่อทุกอย่างจบก็คงต้องติดคุกหัวโต ซึ่งมีโทษจำคุก 3 -15 ปี ต่างกรรมต่างวาระกันไป
เมื่อถามต่อว่า นอกจากบลูสกายแล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นที่จะออกหมายจับอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะได้กำชับดีเอสไอ ไปแล้ว ซึ่งเป็นเลขาฯของทีมกฎมาย รับไปดำเนินการ จะมีการออกหมายจับทั้งบริษัท และห้างร้าน ที่ให้การสนับสนุน เพียงแต่วันนี้เน้นบลูสกาย เพราะชัดเจน และไม่คิดว่าจะเป็นการเติมเชื้อไฟให้เกิดความรุนแรง เพราะรัฐไม่ได้สั่งให้ปิดสถานี เพียงแต่เป็นการแจ้งความ และมีหมายศาลไว้ก่อน เมื่อทุกอย่างจบสิ้น เป็นไปตามกฎหมาย ก็จะติดคุกหัวโตเท่านั้น
ฟัน"สุขุมพันธุ์"เอาส้วมไปให้ใช้
นอกจากนี้ในส่วนของกทม. ที่ให้การสนับสนุนกบฏ ก็ถือว่าผิด ม.114 เช่นกัน อย่างเช่น นำส้วมไปให้ใช้ หรือ รถน้ำไปให้ ก็มีความผิด กทม.ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย วันนี้ได้กำชับกระทรวงมหาดไทยแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งเตือนไปก่อน เพราะหลักการที่มีอยู่ชัดเจนว่า ให้ความช่วยเหลือกบฏ ต้องถูกจับกุมทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าจะเพิ่มความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพราะเราว่ากันตามกฎหมาย แม้แต่ตัวผู้ว่าฯ กทม. ถ้ามีความผิดชัดเจน ว่ากระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการเช่นกัน เราจะต้องปฏิบัติตามกฎมายอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นกฎหมายคงไม่มีความหมาย
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าจะออกหมายศาลเพื่อจับกุมผู้ว่าฯ กทม. หากมีหลักฐานชัดเจนอย่างนั้นหรือ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะเรารู้ว่า มีการสนับสนุนก็ต้องโดนแน่ๆ ใครทำผิดก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งรัฐบาลจะทำในทุกๆแนวทาง โดยเราจะไม่ปล่อยคนทำผิดกฎหมาย ซึ่งรมว.ยุติธรรม จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามรถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างแท้จริง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทำได้ เพียงแต่วันนี้ต้องรอ และระมัดระวังในการดำเนินการ ต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด แล้วจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในอดีต เหมือนสมัยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพล.อ.สุจินดา คราประยูร เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
นายกฯไม่หารือ"กบฏ"
เมื่อถามว่า นายกฯ และนายสุเทพ ควรได้หารือกันอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า คงไม่มีการหารืออีกแล้ว เพราะหากนายกฯไปหารือ ก็จะกลายเป็นว่า มีความผิดไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ ดังนั้นนายสุเทพ ต้องมอบตัวในข้อหากบฏ แม้แต่ตนหรือใครก็ไปเจรจาด้วยไม่ได้ เพราะจะมีความผิดทั้งหมด ส่วนการเจรจาของนายกฯ และนายสุเทพ ครั้งแรกนั้นไม่ถือว่าผิด เพราะยังไม่ถูกข้อหากบฏ
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พูดคุยถึงการชุมนุมประท้วงที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ยึดมั่นในวิถีทางเดิม คือ จะไม่ใช้ความรุนแรง จะใช้สื่อในการติดตาม เพื่อให้นานาชาติ และคนในประเทศได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นการดำเนินการใดๆ ของผู้ประท้วง ฝ่ายรัฐจะรีบเผยแพร่ข้อมูล เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นสังคมจะเกิดความเข้าใจผิด อย่างกรณีมีข่าวว่า ตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีกลายเป็นน้ำกรด เหมือนที่แพทย์ชนบทออกมากล่าวหา แต่โชคดีที่โรงพยาบาลสามารถชี้แจงได้ว่า น้ำดังกล่าวเป็นสีผสมธรรมดา เรื่องแบบนี้ต้องรีบชี้แจงต่อสังคมให้เข้าใจ และข้อห่วงใยที่สำคัญ คือ ตอนนี้ได้รับข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะกลับมาสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อม และต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า ในช่วงนี้เป็นงานพระราชพิธี คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ จะต้องรีบแจ้งให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ ในการหารือวันนี้ จึงรีบแบ่งงานเพื่อให้ทันต่อสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น
อ้างพระราชดำรัสฯ อยากให้สงบสุข
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายกฎมายจะต้องเร่งชี้แจง อย่างกรณีที่นายสุเทพ พูดในเรื่องนายกฯ มาตรา 7 เรื่องนี้ต้องชี้แจงว่า ทำได้หรือไม่ได้อย่างไร ในส่วนของของคณะทำงานดูแลเยียวยาประชาชน ทางรมว.มหาดไทย จะต้องเร่งหารือเพื่อหาวิธีการช่วยเหลือ อย่างกรณีที่เด็กไปเรียนหนังสือไม่ได้ ตรงนี้เราจะไม่ยอม จากนี้ไปเด็กนักเรียนจะต้องได้เรียนหนังสือ ทั้งนี้คณะทำงานทั้ง 4 ชุด จะทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกัน เน้นนำข้อเท็จจริงชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ
“รัฐบาลอยากเรียกร้องผู้ชุมนุม น่าจะยุติได้แล้ว เพราะสังคมส่วนหนึ่งไม่อยากเห็นความวุ่นวาย และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยเราอยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นมาช้านาน ความสงบสุขของประชาชน เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านอยากเห็น ผมคิดว่าวันนี้ราต้องทำทุกอย่างให้บ้านเมืองสงบ เพื่อถวายแด่พะองค์ท่าน สิ่งใดที่ทำให้พระองค์ท่านสบายใจ นั่นก็คือ ความสงบสุขของประชาชน ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน อยากเรียกร้องว่า เราทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะอยู่กันด้วยเหตุผล วันนี้เป็นวันที่คนไทยทุกคนมีความสุข”นายสุรพงษ์ กล่าว
ลั่นจับ"เทือก"ทันทีที่มีโอกาส
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงการประเมินความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่จะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า คิดว่าผู้ชุมนุมจะเริ่มทยอยเอาคนเข้ามาอีก ซึ่งการข่าวของรัฐบาลพอจะทราบว่า จะมีการระดมคนเข้ามา ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหว คิดว่าผู้ชุมนุมจะทำให้รุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะปรักปรำ และผลักความรับผิดชอบมาที่รัฐบาล เป็นวิธีการเดียวที่คิด และเชื่อว่าจะสำเร็จ แต่ตนอยากจะบอกว่า อย่าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือสถานที่ราชการ โดยเฉพาะอย่าไปปิดกั้นให้ข้าราชการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สังคมโลกก็ไม่ยอมรับ นานาชาติได้ประณามการปิดสถานที่ราชการ หรือแม้แต่สถานที่ของเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดการทำงาน ไม่มีใครรับได้ วันนี้สิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง สังคมโลกไม่ยอมรับ คนไทยเองต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้คิดว่าสิ่งที่นายสุเทพ เรียกร้องไม่มีใครรับได้ และขอให้นายสุเทพ ไปหาหมอเสียดีกว่า
เมื่อถามว่าในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ ยังให้ตำรวจประสานกับสารวัตรทหารใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ใช่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นฝ่ายให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่อ่อนไหว ซึ่งขณะนี้มีแผนทั้งหมดไว้แล้ว ในการดูแลสถานที่ต่างๆ เพื่อรอบรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพียงแต่วันนี้ได้มีมาตรการที่มั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ส่วนผู้ชุมนุมจะดาวกระจายไปจุดไหนบ้าง ยังไม่ทราบ แต่ได้ข่าวว่าจะไปยึดสถานที่เดิมๆที่เคยยึดมาแล้ว
เมื่อถามว่ากรณีนายสุเทพ ที่โดนข้อหากบฏ หากมีโอกาสจริงจะจับตัวเลยหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า “จับครับ เมื่อกี๊ได้พูดคุยกันแล้ว ถ้าคุณสุเทพอยู่ที่ไหน ที่เราสามารถจับตัวได้ จะจับกุมตัวอย่างแน่นอน เพราะถือว่าเขาเป็นคนที่โดนหมายศาลในข้อหากบฏ เมื่อมีโอกาสต้องจับกุม”.
เมื่อเวลา 16.45 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ สำนีกงานตำรวจแห่งชาติ ( ศอ.รส.) นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กำกับดูแล ศอ.รส. แถลงว่า วันนี้ตนได้นัดประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ หลังจากนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์จัดทำแผนและประสานงาน มีตนเป็นประธาน มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรณ รมว.มหาดไทย เป็นรองประธาน
นอกจากนี้จะมีคณะกรรมการด้านกฎหมาย มี รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน คณะกรรมการดูแลประชาชน มี รมว.มหาดไทย เป็นประธาน และคณะกรรมการด้านข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ มี รมว.ไอซีที เป็นประธาน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ได้มีข้อสรุปหลายประเด็น คือ
1. การดำเนินการของคณะทำงานที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ในแต่นี้ต่อไป ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก อย่างกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เป็นผู้ต้องหากบฏ ดังนั้นผู้สนับสนุนนายสุเทพ จะถือว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนผู้ที่เป็นกบฏ ต้อมีความผิดแน่นอนตาม ม.114 ต้องมีการใช้ข้อกฎหมายให้ชัดเจน ซึ่งได้กำชับ ผบ.ตร. ออกมาหมายจับผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งทางดีเอสไอ และ ผบ.ตร. คงทยอยออกหมายจับ
เชือดผู้บริหาร"บลูสกาย"
เมื่อถามว่า จะมีการอกอหมายจับเพิ่มเติมผู้สนับสนุนรายใดบ้าง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากการหารือ รายแรก คือ สถานีบลูสกาย แต่ไม่ใช่เป็นการปิดสถานี เพียงแต่ผู้บริหารบลูสกายนั้น ชัดเจนว่าให้ความสนับสนุน นายสุเทพ ผิด ม.114 ดังนั้นบลูสกาย จะต้องเจอหมายศาลอย่างแน่นอน ส่วนจะมีรายอื่นเข้ามาด้วยหรือไม่ คงต้อรอ จะมีการออกหมายจับเป็นระยะๆโดยจะเน้นที่แกนนำก่อน
สำหรับผู้ร่วมชุมนุม จะยังไม่พิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิด แต่จะเริ่มทยอยออกหมายจับ และเมื่อเราออกหมายศาลแล้ว มามอบตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มามอบตัว เมื่อทุกอย่างจบก็คงต้องติดคุกหัวโต ซึ่งมีโทษจำคุก 3 -15 ปี ต่างกรรมต่างวาระกันไป
เมื่อถามต่อว่า นอกจากบลูสกายแล้ว ยังมีหน่วยงานอื่นที่จะออกหมายจับอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะได้กำชับดีเอสไอ ไปแล้ว ซึ่งเป็นเลขาฯของทีมกฎมาย รับไปดำเนินการ จะมีการออกหมายจับทั้งบริษัท และห้างร้าน ที่ให้การสนับสนุน เพียงแต่วันนี้เน้นบลูสกาย เพราะชัดเจน และไม่คิดว่าจะเป็นการเติมเชื้อไฟให้เกิดความรุนแรง เพราะรัฐไม่ได้สั่งให้ปิดสถานี เพียงแต่เป็นการแจ้งความ และมีหมายศาลไว้ก่อน เมื่อทุกอย่างจบสิ้น เป็นไปตามกฎหมาย ก็จะติดคุกหัวโตเท่านั้น
ฟัน"สุขุมพันธุ์"เอาส้วมไปให้ใช้
นอกจากนี้ในส่วนของกทม. ที่ให้การสนับสนุนกบฏ ก็ถือว่าผิด ม.114 เช่นกัน อย่างเช่น นำส้วมไปให้ใช้ หรือ รถน้ำไปให้ ก็มีความผิด กทม.ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย วันนี้ได้กำชับกระทรวงมหาดไทยแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งเตือนไปก่อน เพราะหลักการที่มีอยู่ชัดเจนว่า ให้ความช่วยเหลือกบฏ ต้องถูกจับกุมทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าจะเพิ่มความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพราะเราว่ากันตามกฎหมาย แม้แต่ตัวผู้ว่าฯ กทม. ถ้ามีความผิดชัดเจน ว่ากระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการเช่นกัน เราจะต้องปฏิบัติตามกฎมายอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นกฎหมายคงไม่มีความหมาย
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าจะออกหมายศาลเพื่อจับกุมผู้ว่าฯ กทม. หากมีหลักฐานชัดเจนอย่างนั้นหรือ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะเรารู้ว่า มีการสนับสนุนก็ต้องโดนแน่ๆ ใครทำผิดก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งรัฐบาลจะทำในทุกๆแนวทาง โดยเราจะไม่ปล่อยคนทำผิดกฎหมาย ซึ่งรมว.ยุติธรรม จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามรถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างแท้จริง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทำได้ เพียงแต่วันนี้ต้องรอ และระมัดระวังในการดำเนินการ ต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด แล้วจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในอดีต เหมือนสมัยพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และพล.อ.สุจินดา คราประยูร เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
นายกฯไม่หารือ"กบฏ"
เมื่อถามว่า นายกฯ และนายสุเทพ ควรได้หารือกันอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า คงไม่มีการหารืออีกแล้ว เพราะหากนายกฯไปหารือ ก็จะกลายเป็นว่า มีความผิดไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ ดังนั้นนายสุเทพ ต้องมอบตัวในข้อหากบฏ แม้แต่ตนหรือใครก็ไปเจรจาด้วยไม่ได้ เพราะจะมีความผิดทั้งหมด ส่วนการเจรจาของนายกฯ และนายสุเทพ ครั้งแรกนั้นไม่ถือว่าผิด เพราะยังไม่ถูกข้อหากบฏ
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พูดคุยถึงการชุมนุมประท้วงที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ยึดมั่นในวิถีทางเดิม คือ จะไม่ใช้ความรุนแรง จะใช้สื่อในการติดตาม เพื่อให้นานาชาติ และคนในประเทศได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นการดำเนินการใดๆ ของผู้ประท้วง ฝ่ายรัฐจะรีบเผยแพร่ข้อมูล เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นสังคมจะเกิดความเข้าใจผิด อย่างกรณีมีข่าวว่า ตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีกลายเป็นน้ำกรด เหมือนที่แพทย์ชนบทออกมากล่าวหา แต่โชคดีที่โรงพยาบาลสามารถชี้แจงได้ว่า น้ำดังกล่าวเป็นสีผสมธรรมดา เรื่องแบบนี้ต้องรีบชี้แจงต่อสังคมให้เข้าใจ และข้อห่วงใยที่สำคัญ คือ ตอนนี้ได้รับข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะกลับมาสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อม และต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่า ในช่วงนี้เป็นงานพระราชพิธี คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์ จะต้องรีบแจ้งให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ ในการหารือวันนี้ จึงรีบแบ่งงานเพื่อให้ทันต่อสถาณการณ์ที่เกิดขึ้น
อ้างพระราชดำรัสฯ อยากให้สงบสุข
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายกฎมายจะต้องเร่งชี้แจง อย่างกรณีที่นายสุเทพ พูดในเรื่องนายกฯ มาตรา 7 เรื่องนี้ต้องชี้แจงว่า ทำได้หรือไม่ได้อย่างไร ในส่วนของของคณะทำงานดูแลเยียวยาประชาชน ทางรมว.มหาดไทย จะต้องเร่งหารือเพื่อหาวิธีการช่วยเหลือ อย่างกรณีที่เด็กไปเรียนหนังสือไม่ได้ ตรงนี้เราจะไม่ยอม จากนี้ไปเด็กนักเรียนจะต้องได้เรียนหนังสือ ทั้งนี้คณะทำงานทั้ง 4 ชุด จะทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกัน เน้นนำข้อเท็จจริงชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ
“รัฐบาลอยากเรียกร้องผู้ชุมนุม น่าจะยุติได้แล้ว เพราะสังคมส่วนหนึ่งไม่อยากเห็นความวุ่นวาย และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่า ประเทศไทยเราอยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นมาช้านาน ความสงบสุขของประชาชน เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านอยากเห็น ผมคิดว่าวันนี้ราต้องทำทุกอย่างให้บ้านเมืองสงบ เพื่อถวายแด่พะองค์ท่าน สิ่งใดที่ทำให้พระองค์ท่านสบายใจ นั่นก็คือ ความสงบสุขของประชาชน ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน อยากเรียกร้องว่า เราทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะอยู่กันด้วยเหตุผล วันนี้เป็นวันที่คนไทยทุกคนมีความสุข”นายสุรพงษ์ กล่าว
ลั่นจับ"เทือก"ทันทีที่มีโอกาส
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงการประเมินความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่จะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า คิดว่าผู้ชุมนุมจะเริ่มทยอยเอาคนเข้ามาอีก ซึ่งการข่าวของรัฐบาลพอจะทราบว่า จะมีการระดมคนเข้ามา ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหว คิดว่าผู้ชุมนุมจะทำให้รุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะปรักปรำ และผลักความรับผิดชอบมาที่รัฐบาล เป็นวิธีการเดียวที่คิด และเชื่อว่าจะสำเร็จ แต่ตนอยากจะบอกว่า อย่าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือสถานที่ราชการ โดยเฉพาะอย่าไปปิดกั้นให้ข้าราชการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สังคมโลกก็ไม่ยอมรับ นานาชาติได้ประณามการปิดสถานที่ราชการ หรือแม้แต่สถานที่ของเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดการทำงาน ไม่มีใครรับได้ วันนี้สิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง สังคมโลกไม่ยอมรับ คนไทยเองต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้คิดว่าสิ่งที่นายสุเทพ เรียกร้องไม่มีใครรับได้ และขอให้นายสุเทพ ไปหาหมอเสียดีกว่า
เมื่อถามว่าในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ ยังให้ตำรวจประสานกับสารวัตรทหารใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ใช่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นฝ่ายให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่อ่อนไหว ซึ่งขณะนี้มีแผนทั้งหมดไว้แล้ว ในการดูแลสถานที่ต่างๆ เพื่อรอบรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพียงแต่วันนี้ได้มีมาตรการที่มั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ส่วนผู้ชุมนุมจะดาวกระจายไปจุดไหนบ้าง ยังไม่ทราบ แต่ได้ข่าวว่าจะไปยึดสถานที่เดิมๆที่เคยยึดมาแล้ว
เมื่อถามว่ากรณีนายสุเทพ ที่โดนข้อหากบฏ หากมีโอกาสจริงจะจับตัวเลยหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า “จับครับ เมื่อกี๊ได้พูดคุยกันแล้ว ถ้าคุณสุเทพอยู่ที่ไหน ที่เราสามารถจับตัวได้ จะจับกุมตัวอย่างแน่นอน เพราะถือว่าเขาเป็นคนที่โดนหมายศาลในข้อหากบฏ เมื่อมีโอกาสต้องจับกุม”.