“สุรพงษ์” เรียกถก ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์ เผยตั้ง กก.4 ชุด สั่ง ผบ.ตร.ออกหมายจับผู้สนับสนุนกบฏ เริ่มช่องบลูสกาย ขู่บริษัทหนุนโดนแน่ กทม.ก็ไม่เว้น เย้ยติดคุกหัวโต เชื่อไม่สุมไฟเพิ่ม ลั่นไม่มีเจรจา “สุเทพ” แล้ว พร้อมทีมรีบแจงชาวบ้าน ยอมไม่ได้ม็อบทำเด็กไม่ได้เรียน ก่อนอ้างพระราชดำรัสเข้าข้างตัวเองไล่ผู้ชุมนุม บอกเฉยนานาชาติไม่เอาข้อเรียกร้อง ไล่ไปหาหมอ ลั่นถ้าเจอจับแน่
วันนี้ (5 ธ.ค.) ที่ ศอ.รส.เมื่อเวลา 15.00 น.นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้กำกับดูแลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ได้เรียกประชุมคณะทำงาน ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ตัวแทนจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยก่อนหารือ พล.อ.นิพทธ์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ โดยผู้ชุมนุมยังประกาศที่จะมีการเคลื่อนไหวต่อ จึงต้องมีการประเมินสถานการณ์เพื่อเตรียมรับการเคลื่อนไหว
ขณะที่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะประธานอนุกรรมการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กล่าวว่า นายสุรพงษ์ เรียกประชุมคณะกรรมการ ศอ.รส.เพื่อประเมินสถานการณ์ และเตรียมรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม และตนในฐานะประธานอนุกรรมการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมก็จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชน ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบนโยบายโดยเน้นย้ำให้ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่
ต่อมาเมื่อเวลา 16.45 น.นายสุรพงษ์ แถลงว่า วันนี้ตนได้นัดประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ หลังจากนายกฯ มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย โดยตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการกำหนดยุทธศาสตร์จัดทำแผนและประสานงาน มีตนเป็นประธาน มี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย เป็นรองประธาน นอกจากนี้จะมีคณะกรรมการด้านกฎหมาย มี รมว.ยุติธรรม เป็นประธาน คณะกรรมการดูแลประชาชน มี รมว.มหาดไทย เป็นประธาน และคณะกรรมการด้านข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ มี รมว.ไอซีที เป็นประธาน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ ได้มีข้อสรุปหลายประเด็น คือ 1.การดำเนินการของคณะทำงานที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ในตอนนี้ ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก อย่างกรณีนายสุเทพ เป็นผู้ต้องหากบฏ ดังนั้น ผู้สนับสนุนนายสุเทพ จะถือว่าเป็นผู้ที่สนับสนุนผู้ที่เป็นกบฏ ต้องมีความผิดแน่นอนตาม ม.114 ต้องมีการใช้ข้อกฎหมายให้ชัดเจน ซึ่งได้กำชับ ผบ.ตร.ออกหมายจับผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งทางดีเอสไอ และ ผบ.ตร.คงทยอยออกหมายจับ
เมื่อถามว่า จะมีการออกหมายจับเพิ่มเติมผู้สนับสนุนรายใดบ้าง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า จากการหารือ รายแรก คือ สถานีบลูสกาย แต่ไม่ใช่เป็นการปิดสถานี เพียงแต่ผู้บริหารบลูสกายนั้นชัดเจนว่าให้ความสนับสนุนนายสุเทพ ผิด ม.114 ดังนั้น บลูสกายจะต้องเจอหมายศาลอย่างแน่นอน ส่วนจะมีรายอื่นเข้ามาด้วยหรือไม่ คงต้องรอ จะมีการออกหมายจับเป็นระยะๆ โดยจะเน้นที่แกนนำก่อน สำหรับผู้ชุมนุมจะยังไม่พิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิด แต่จะเริ่มทยอยออกหมายจับ และเมื่อเราออกหมายศาลแล้วมามอบตัวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่มามอบตัวเมื่อทุกอย่างจบก็คงต้องติดคุกหัวโต ซึ่งมีโทษจำคุก 3-15 ปี ต่างกรรมต่างวาระกันไป
เมื่อถามต่อว่า นอกจากบลูสกาย ยังมีหน่วยงานอื่นที่จะออกหมายจับอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า มีแน่นอน เพราะได้กำชับดีเอสไอไปแล้ว ซึ่งเป็นเลขาฯ ของทีมกฎหมายรับไปดำเนินการ จะมีการออกหมายจับทั้งบริษัทและห้างร้านที่ให้การสนับสนุน เพียงแต่วันนี้เน้นบลูสกายเพราะชัดเจน และไม่คิดว่าจะเติมเชื้อไฟให้เกิดความรุนแรง เพราะรัฐไม่ได้สั่งให้ปิดสถานี เพียงแต่เป็นการแจ้งความและมีหมายศาลไว้ก่อน เมื่อทุกอย่างจบสิ้น เป็นไปตามกฎหมายก็จะติดคุกหัวโตเท่านั้น
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในส่วนของ กทม.ที่ให้การสนับสนุนกบฏ ก็ถือว่าผิด ม.114 เช่นกัน อย่างเช่นนำส้วมไปให้ใช้ หรือรถน้ำไปให้ก็มีความผิด กทม.ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย วันนี้ได้กำชับกระทรวงมหาดไทยแล้ว ให้ดำเนินการแจ้งเตือนไปก่อน เพราะหลักการที่มีอยู่ชัดเจนว่าให้ความช่วยเหลือกบฏ ต้องถูกจับกุมทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าจะเพิ่มความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพราะเราว่ากันตามกฎหมาย แม้แต่ตัวผู้ว่าฯ กทม.ถ้ามีความผิดชัดเจนว่ากระทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการเช่นกัน เราจะต้องปฏิบัติตามกฎมายอย่างเคร่งครัด ไม่เช่นนั้นกฎหมายคงไม่มีความหมาย
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าจะออกหมายศาลเพื่อจับกุมผู้ว่าฯ หากมีหลักฐานชัดเจนอย่างนั้นหรือ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะเรารู้ว่ามีการสนับสนุนก็ต้องโดนแน่ๆ ใครทำผิดก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งรัฐบาลจะทำในทุกๆ แนวทาง โดยเราจะไม่ปล่อยคนทำผิดกฎหมาย ซึ่ง รมว.ยุติธรรม จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เมื่อถามว่า แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างแท้จริง นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ทำได้ เพียงแต่วันนี้ต้องรอและระมัดระวังในการดำเนินการ ต้องทำทุกอย่างให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด แล้วจะเกิดความวุ่นวายเหมือนในอดีต เหมือนสมัย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
เมื่อถามว่า นายกฯ และนายสุเทพ ควรได้หารือกันอีกหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า คงไม่มีการหารืออีกแล้ว เพราะหากนายกฯ ไปหารือ ก็จะกลายเป็นว่ามีความผิดไปสมรู้ร่วมคิดกับกบฏ ดังนั้นนายสุเทพ ต้องมอบตัวในข้อหากบฏ แม้แต่ตนหรือใครก็ไปเจรจาด้วยไม่ได้ เพราะจะมีความผิดทั้งหมด ส่วนการเจรจาของนายกฯ และนายสุเทพครั้งแรกนั้น ไม่ถือว่าผิด เพราะยังไม่ถูกข้อหากบฏ
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังได้พูดคุยถึงการชุมนุมประท้วงที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ขอให้ยึดมั่นในวิถีทางเดิม คือจะไม่ใช้ความรุนแรง จะใช้สื่อในการติดตามเพื่อให้นานาชาติ และคนในประเทศได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นการดำเนินการใดๆ ของผู้ประท้วง ฝ่ายรัฐจะรีบเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่เช่นนั้นสังคมจะเกิดความเข้าใจผิด อย่างกรณีมีข่าวว่าตำรวจใช้น้ำผสมสารเคมีกลายเป็นน้ำกรด เหมือนที่แพทย์ชนบทออกมากล่าวหา แต่โชคดีที่โรงพยาบาลสามารถชี้แจงได้ว่าน้ำดังกล่าวเป็นสีผสมธรรมดา เรื่องแบบนี้ต้องรีบชี้แจงต่อสังคมให้เข้าใจ และข้อห่วงใยที่สำคัญ คือตอนนี้ได้รับข่าวว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะกลับมาสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมและต้องประชาสัมพันธ์ให้ทราบว่าในช่วงนี้เป็นงานพระราชพิธี คณะทำงานด้านประชาสัมพันธ์จะต้องรีบแจ้งให้ประชาชนเกิดความเข้าใจ ในการหารือวันนี้จึงรีบแบ่งงานเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
นายสุรพงษ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ฝ่ายกฎหมายจะต้องเร่งชี้แจง อย่างกรณีที่นายสุเทพ พูดในเรื่องนายกฯ มาตรา 7 เรื่องนี้ต้องชี้แจงว่าทำได้หรือไม่ได้อย่างไร ในส่วนของของคณะทำงานดูแลเยียวยาประชาชน ทาง รมว.มหาดไทย จะต้องเร่งหารือเพื่อหาวิธีการช่วยเหลือ อย่างกรณีที่เด็กไปเรียนหนังสือไม่ได้ ตรงนี้เราจะไม่ยอม จากนี้ไปเด็กนักเรียนจะต้องได้เรียนหนังสือ ทั้งนี้ คณะทำงานทั้งสี่ชุดจะทำงานในเชิงบูรณาการร่วมกัน เน้นนำข้อเท็จจริงชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ
“รัฐบาลอยากเรียกร้องผู้ชุมนุมน่าจะยุติได้แล้ว เพราะสังคมส่วนหนึ่งไม่อยากเห็นความวุ่นวาย และหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสว่าประเทศไทยเราอยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นมาช้านาน ความสงบสุขของประชาชน เป็นสิ่งที่พระองค์ท่านอยากเห็น ผมคิดว่าวันนี้ราต้องทำทุกอย่างให้บ้านเมืองสงบ เพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน สิ่งใดที่ทำให้พระองค์ท่านสบายใจ นั่นก็คือความสงบสุขของประชาชน ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน อยากเรียกร้องว่าเราทะเลาะกันไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะอยู่กันด้วยเหตุผล วันนี้เป็นวันที่คนไทยทุกคนมีความสุข” นายสุรพงษ์ กล่าว
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงการประเมินความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่จะกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งว่า คิดว่าผู้ชุมนุมจะเริ่มทยอยเอาคนเข้ามาอีก ซึ่งการข่าวของรัฐบาลพอจะทราบว่าจะมีการระดมคนเข้ามา ซึ่งรูปแบบการเคลื่อนไหว คิดว่าผู้ชุมนุมจะทำให้รุนแรงมากขึ้น เพื่อที่จะปรักปรำและผลักความรับผิดชอบมาที่รัฐบาล เป็นวิธีการเดียวที่คิดและเชื่อว่าจะสำเร็จ แต่ตนอยากจะบอกว่าอย่าทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือสถานที่ราชการ โดยเฉพาะอย่าไปปิดกั้นให้ข้าราชการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สังคมโลกก็ไม่ยอมรับ นานาชาติได้ประณามการปิดสถานที่ราชการ หรือแม้แต่สถานที่ของเอกชน เพื่อไม่ให้เกิดการทำงาน ไม่มีใครรับได้ วันนี้สิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้อง สังคมโลกไม่ยอมรับ คนไทยเองต่างก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร วันนี้คิดว่าสิ่งที่นายสุเทพ เรียกร้องไม่มีใครรับได้ และขอให้นายสุเทพ ไปหาหมอเสียดีกว่า
เมื่อถามว่า ในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ยังให้ตำรวจประสานกับสารวัตรทหารใช่หรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ใช่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นฝ่ายให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่อ่อนไหว ซึ่งขณะนี้มีแผนทั้งหมดไว้แล้วในการดูแลสถานที่ต่างๆ เพื่อรอบรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพียงแต่วันนี้ได้มีมาตรการที่มั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ส่วนผู้ชุมนุมจะดาวกระจายไปจุดไหนบ้างยังไม่ทราบ แต่ได้ข่าวว่าจะไปยึดสถานที่เดิมๆ ที่เคยยึดมาแล้ว
เมื่อถามว่ากรณีนายสุเทพที่โดนข้อหากบฏ หากมีโอกาสจริงจะจับตัวเลยหรือไม่ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า “จับครับ เมื่อกี้ได้พูดคุยกันแล้ว ถ้าคุณสุเทพอยู่ที่ไหนที่เราสามารถจับตัวได้จะจับกุมตัวอย่างแน่นอน เพราะถือว่าเขาเป็นคนที่โดนหมายศาลในข้อหากบฏ เมื่อมีโอกาสต้องจับกุม”