เห็นพฤติกรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับเรื่องทางออกของประเทศไทย และ “สภาประชาชน”ในยามนี้ ผู้เขียนรู้สึกรำคาญ เพราะการต่อสู้ระหว่างขบวนการประชาชนฯ นำโดย “กปปส.” กับมือตีนของระบอบทักษิณ ปรากฏผลชัดเจนแล้วว่า ใครแพ้ใครชนะ แต่นี่เธอเล่น “ยื้อ”แบบไม่ลืมหูลืมตา ทำให้จังหวะก้าวของการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูปประเทศไทย เนิ่นช้าออกไปอีก
ก็ในเมื่อพลเอกประยุทธ์ และใครต่อใครก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า “อยู่ข้างประเทศไทย” แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะต้องพะวงอยู่กับเรื่องระเบียบวินัย (ในฐานะที่ยิ่งลักษณ์เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ผู้บังคับบัญชาสามเหล่าทัพ) ซึ่งถ้าหากนาวสาวยิ่งลักษณ์ทำตัวเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่เหมาะที่ควรกว่านี้ เจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เคร่งครัดในเรื่องระเบียบวินัย ก็จะตัดสินใจทำอะไรได้เร็วขึ้น ดีขึ้น ก็จะทำให้ประเทศไทย “หลุด” จากปลักตมแห่งวิกฤติเร็วขึ้น เดินหน้าได้เต็มตีน !
อีกทั้ง พฤติกรรมของเธอ กำลังสร้างความขบขันให้แก่วงการเมืองโลกอย่างชัดเจน เพราะการที่เธอยึดติดอยู่กับหัวโขนนายกรัฐมนตรีประเทศไทย โดยไม่ตระหนักในความด้อยปัญญาของตน ยังพยายามอธิบายแบบงูๆปลาๆ ในเรื่องความชอบธรรมของเธอที่จะทู่ซี้อยู่ในอำนาจต่อไป กับผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลกในหลายๆโอกาส และเถียง “คอเป็นเอ็น” แบบ “ยืนกระต่ายขาเดียว” ในเรื่องสภาประชาชน โดยพยายามดึง “มือตีน” ในแวดวงวิชาการมาช่วยเถียง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าอาสาในยามที่ระบอบทักษิณกำลังจะสิ้นลม
เธอน่าจะเห็นตัวอย่างของผู้ “ตื่นแล้ว” จำนวนมากในช่วงหลังนี้ ยอมรับความจริง และ“ปลง” ในความเป็นอนิจจังของอำนาจทักษิณ ระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าทำได้สัก “แว้บ” หนึ่ง ก็อาจมีส่วนช่วยให้เธอไม่ต้อง “จม”ไปกับมัน
ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูคุณสรยุทธ์ของทีวีช่อง 3 สิ เขาปรับแนวการนำเสนอได้ดีผิดหูผิดตา เป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ จนคุณสุเทพออกปากชม ซึ่งผู้เขียนก็เห็นว่าดี ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะประเทศไทยยามนี้ต้องการ “คนไทยทุกฝ่าย” มาร่วมกัน “ตอกตะปู” ฝาโลงระบอบทักษิณ ช่วยกันออกแรงสักหน่อย คนละไม้คนละมือ ประเทศไทยก็จะหลุดพ้นวิกฤติ เดินไปข้างหน้าได้ด้วยแรงขับเคลื่อนของ “คนไทยทุกฝ่าย” ที่พร้อมใจกันทำอะไรก็ได้ ที่สอดคล้องกับทิศทางที่ประเทศไทยต้องก้าวไป
และในตอนนี้ ก็ไม่เห็นจะต้องมีการถกเถียงอะไรกันเรื่อง “สภาประชาชน”
ก็ในเมื่อขบวนการประชาชนฯ ได้ทำหน้าที่เป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2548 แม้มีการเปลี่ยนตัวแกนนำ จากคุณสนธิและคณะ(พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “พธม.”) มาเป็นคุณสุเทพและคณะ(คณะกรรมการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “กปปส.”) แต่ขบวนการประชาชนฯก็พัฒนาเติบใหญ่เข้มแข็ง จนกลายเป็น “อำนาจประชาชน” อันยิ่งใหญ่ ต่อสู้เอาชนะ “อำนาจทักษิณ” ที่เป็นแกนหลักของ “ระบอบทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง และบัดนี้ได้ก้าวมาถึงขั้นที่จะ “เช้คบิล-ปิดเกม” กันเรียบร้อยแล้ว การจะดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร ด้วยกลไกอะไร จะเป็นสภาประชาชนหรือไม่อย่างไร ก็อยู่ที่ขบวนการประชาชนฯจะเป็นผู้กำหนด ตามดุลพินิจของตนเอง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง ซึ่งจะยังประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
ตามความเข้าใจของผู้เขียน สภาประชาชนเป็นองค์กรเปิด พร้อมเปิดรับตัวแทนของกลุ่มองค์กรต่างๆที่ต้องการเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในสภาฯสามารถเข้าไป “ราวี” กันได้เต็มที่ในสภาฯ ผู้มีความเห็นต่างสามารถเข้าไปแสดงทัศนะ ความรู้ความเข้าใจ และข้อเสนอของตนเองได้อย่างเสรี แบบไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่คุณมุ่งทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม มิใช่เพื่อตนเอง
ผู้รู้ที่คิดว่าตัวเองมีภูมิปัญญาก้อนโต ก็จงรีบอาสาเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่มีความคิดตรงกัน มีผลประโยชน์ตรงกัน เข้าไปสู้กันในสภาฯ ดีกว่าที่จะมาเถียงแบบคอเป็นเอ็นในสิ่งที่ประชาชนเขาเลือกแล้ว จะได้ไม่ “เข้าทาง” กลายเป็นมือตีนของยิ่งลักษณ์ ที่กำลังพยายาม “ดิ้น” หาทางต่อลมหายใจระบอบทักษิณ
ก็ในเมื่อขบวนการประชาชนฯภายใต้การนำของคุณสุเทพและคณะ(กปปส.) ยึดมั่นในเจตนารมณ์ร่วมกันของมวลมหาประชาชนอย่างแน่วแน่ ตกลงตั้งสภาประชาชนขึ้นมาเป็นกลไกอำนาจของประชาชน ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง ก็สมควรที่ “ทุกฝ่าย” จะต้องเคารพ มิใช่เอาแต่จะเถียงแบบ “คอเป็นเอ็น” ดังเช่นที่นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังทำอยู่
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ กับการที่จะต้อง “รีบ” ออกมาถกเถียงกันแบบ “คอเป็นเอ็น”ซึ่งส่วนใหญ่คละคลุ้งไปด้วยองค์ความรู้จากตำรา มากกว่าการ “เริ่มจากความเป็นจริง” ของประเทศไทย ของคนไทย
เมื่อพิจารณาในทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ระหว่าง “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” พฤติกรรมต่างๆของของนางสาวยิ่งลักษณ์ในยามนี้ ถึงที่สุดแล้ว ก็คือการ “ยื้อเวลา” อย่างชัดเจน เพื่อหาทาง“พลิกเกม” หลังจากตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมาโดยตลอด
ซึ่งก็คงเป็นได้ยาก เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของอำนาจประชาชนที่แสดงออกมานั้น เกินกว่าที่อำนาจทักษิณจะต้านยันได้ และบรรดามือตีนทั้งหลายต่างก็พากันถอดใจกันเป็นแถวแล้ว
ก็ในเมื่อพลเอกประยุทธ์ และใครต่อใครก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า “อยู่ข้างประเทศไทย” แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะต้องพะวงอยู่กับเรื่องระเบียบวินัย (ในฐานะที่ยิ่งลักษณ์เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ผู้บังคับบัญชาสามเหล่าทัพ) ซึ่งถ้าหากนาวสาวยิ่งลักษณ์ทำตัวเป็นอีกแบบหนึ่ง ที่เหมาะที่ควรกว่านี้ เจ้าหน้าที่ข้าราชการที่เคร่งครัดในเรื่องระเบียบวินัย ก็จะตัดสินใจทำอะไรได้เร็วขึ้น ดีขึ้น ก็จะทำให้ประเทศไทย “หลุด” จากปลักตมแห่งวิกฤติเร็วขึ้น เดินหน้าได้เต็มตีน !
อีกทั้ง พฤติกรรมของเธอ กำลังสร้างความขบขันให้แก่วงการเมืองโลกอย่างชัดเจน เพราะการที่เธอยึดติดอยู่กับหัวโขนนายกรัฐมนตรีประเทศไทย โดยไม่ตระหนักในความด้อยปัญญาของตน ยังพยายามอธิบายแบบงูๆปลาๆ ในเรื่องความชอบธรรมของเธอที่จะทู่ซี้อยู่ในอำนาจต่อไป กับผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ระดับโลกในหลายๆโอกาส และเถียง “คอเป็นเอ็น” แบบ “ยืนกระต่ายขาเดียว” ในเรื่องสภาประชาชน โดยพยายามดึง “มือตีน” ในแวดวงวิชาการมาช่วยเถียง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่กล้าอาสาในยามที่ระบอบทักษิณกำลังจะสิ้นลม
เธอน่าจะเห็นตัวอย่างของผู้ “ตื่นแล้ว” จำนวนมากในช่วงหลังนี้ ยอมรับความจริง และ“ปลง” ในความเป็นอนิจจังของอำนาจทักษิณ ระบอบทักษิณ ซึ่งถ้าทำได้สัก “แว้บ” หนึ่ง ก็อาจมีส่วนช่วยให้เธอไม่ต้อง “จม”ไปกับมัน
ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูคุณสรยุทธ์ของทีวีช่อง 3 สิ เขาปรับแนวการนำเสนอได้ดีผิดหูผิดตา เป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ จนคุณสุเทพออกปากชม ซึ่งผู้เขียนก็เห็นว่าดี ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะประเทศไทยยามนี้ต้องการ “คนไทยทุกฝ่าย” มาร่วมกัน “ตอกตะปู” ฝาโลงระบอบทักษิณ ช่วยกันออกแรงสักหน่อย คนละไม้คนละมือ ประเทศไทยก็จะหลุดพ้นวิกฤติ เดินไปข้างหน้าได้ด้วยแรงขับเคลื่อนของ “คนไทยทุกฝ่าย” ที่พร้อมใจกันทำอะไรก็ได้ ที่สอดคล้องกับทิศทางที่ประเทศไทยต้องก้าวไป
และในตอนนี้ ก็ไม่เห็นจะต้องมีการถกเถียงอะไรกันเรื่อง “สภาประชาชน”
ก็ในเมื่อขบวนการประชาชนฯ ได้ทำหน้าที่เป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ เพื่อเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2548 แม้มีการเปลี่ยนตัวแกนนำ จากคุณสนธิและคณะ(พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “พธม.”) มาเป็นคุณสุเทพและคณะ(คณะกรรมการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “กปปส.”) แต่ขบวนการประชาชนฯก็พัฒนาเติบใหญ่เข้มแข็ง จนกลายเป็น “อำนาจประชาชน” อันยิ่งใหญ่ ต่อสู้เอาชนะ “อำนาจทักษิณ” ที่เป็นแกนหลักของ “ระบอบทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง และบัดนี้ได้ก้าวมาถึงขั้นที่จะ “เช้คบิล-ปิดเกม” กันเรียบร้อยแล้ว การจะดำเนินการปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร ด้วยกลไกอะไร จะเป็นสภาประชาชนหรือไม่อย่างไร ก็อยู่ที่ขบวนการประชาชนฯจะเป็นผู้กำหนด ตามดุลพินิจของตนเอง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นจริง ซึ่งจะยังประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป
ตามความเข้าใจของผู้เขียน สภาประชาชนเป็นองค์กรเปิด พร้อมเปิดรับตัวแทนของกลุ่มองค์กรต่างๆที่ต้องการเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในสภาฯสามารถเข้าไป “ราวี” กันได้เต็มที่ในสภาฯ ผู้มีความเห็นต่างสามารถเข้าไปแสดงทัศนะ ความรู้ความเข้าใจ และข้อเสนอของตนเองได้อย่างเสรี แบบไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่คุณมุ่งทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม มิใช่เพื่อตนเอง
ผู้รู้ที่คิดว่าตัวเองมีภูมิปัญญาก้อนโต ก็จงรีบอาสาเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่มีความคิดตรงกัน มีผลประโยชน์ตรงกัน เข้าไปสู้กันในสภาฯ ดีกว่าที่จะมาเถียงแบบคอเป็นเอ็นในสิ่งที่ประชาชนเขาเลือกแล้ว จะได้ไม่ “เข้าทาง” กลายเป็นมือตีนของยิ่งลักษณ์ ที่กำลังพยายาม “ดิ้น” หาทางต่อลมหายใจระบอบทักษิณ
ก็ในเมื่อขบวนการประชาชนฯภายใต้การนำของคุณสุเทพและคณะ(กปปส.) ยึดมั่นในเจตนารมณ์ร่วมกันของมวลมหาประชาชนอย่างแน่วแน่ ตกลงตั้งสภาประชาชนขึ้นมาเป็นกลไกอำนาจของประชาชน ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง ก็สมควรที่ “ทุกฝ่าย” จะต้องเคารพ มิใช่เอาแต่จะเถียงแบบ “คอเป็นเอ็น” ดังเช่นที่นางสาวยิ่งลักษณ์กำลังทำอยู่
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ กับการที่จะต้อง “รีบ” ออกมาถกเถียงกันแบบ “คอเป็นเอ็น”ซึ่งส่วนใหญ่คละคลุ้งไปด้วยองค์ความรู้จากตำรา มากกว่าการ “เริ่มจากความเป็นจริง” ของประเทศไทย ของคนไทย
เมื่อพิจารณาในทางยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ระหว่าง “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” พฤติกรรมต่างๆของของนางสาวยิ่งลักษณ์ในยามนี้ ถึงที่สุดแล้ว ก็คือการ “ยื้อเวลา” อย่างชัดเจน เพื่อหาทาง“พลิกเกม” หลังจากตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำมาโดยตลอด
ซึ่งก็คงเป็นได้ยาก เนื่องจากความยิ่งใหญ่ของอำนาจประชาชนที่แสดงออกมานั้น เกินกว่าที่อำนาจทักษิณจะต้านยันได้ และบรรดามือตีนทั้งหลายต่างก็พากันถอดใจกันเป็นแถวแล้ว