xs
xsm
sm
md
lg

นักธุรกิจขี้ข้า...นักวิชาการบ้าๆ

เผยแพร่:   โดย: สุนันท์ ศรีจันทรา

หลังจากที่ประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนเกิดภาวะตึงเครียดทางการเมือง องค์กรธุรกิจ นักวิชาการก็ออกมาแสดงท่าทีเป็นห่วงสถานการณ์

องค์กรธุรกิจหลายแห่งประกาศจุดยืน ต้องการเห็นทุกฝ่ายหันหน้าเจรจาเพื่อยุติความรุนแรง เพราะกังวลผลกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน กระทบต่อการท่องเที่ยว กระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ขณะที่นักวิชาการหลายคนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฎหมาย ยึดมั่นในสันติวิธี และหันหน้ามาเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง

บทบาทของสมาคมธุรกิจหรือนักวิชาการที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้ามาเจรจาและไม่ใช้ความรุนแรง เป็นการแสดงจุดยืนที่ดี

แต่คำถามคือ องค์กรธุรกิจเหล่านี้ หายไปไหน ยามที่สถานการณ์การเมืองวิกฤต ช่วงเกิดกลียุคเผาบ้านเผาเมืองโดยกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2553

นักธุรกิจบางคน ทำไมจึงเพิ่งมาห่วงบ้านห่วงเมือง ห่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตอนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังสั่นคลอน เพราะถูกประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาขับไล่

นักธุรกิจหล่านี้มุดอยู่ที่ไหน ช่วงที่คนเสื้อแดงเข้ามาสร้างสถานการณ์ป่วนบ้านป่วนเมือง ทำลายการประชุมผู้นำนานาประเทศที่พัทยา

นักธุรกิจเหล่านี้ ทำไมไม่ออกมาแสดงจุดยืนในช่วงที่คนเสื้อแดง ยึดศูนย์กลางธุรกิจบริเวณย่านราชประสงค์ ตั้งกองกำลังคุกคามคนกรุงเทพฯ ทำลายทั้งภาพลักษณ์ของประเทศ ทำลายทั้งความเชื่อมั่นนักลงทุน ทำลายธุรกิจท่องเที่ยวจนแทบจะล้มละลายตามๆ กัน

รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์บริหารประเทศมากว่า 2 ปี และใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมหลายครั้ง มีการนำงบประมาณไปใช้อย่างล้างผลาญในหลายโครการ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่การทุจริตคอร์รัปชันขยายตัวทุกหย่อมหญ้า และโกงกันอย่างซึ่งหน้า

จนประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูงขึ้น

แม้มีการเปิดโปงข้อมูลการทุจริตชนิดคาหนังคาเขา แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมชี้แจงข้อมูล ใครจะโจมตีต่อว่าประณามอย่างไรก็เฉย

นักธุรกิจกลุ่มที่อวดอ้างว่า ห่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทำไมจึงปล่อยให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศมากว่า 2 ปี ทำไมปล่อยให้รัฐบาลชุดนี้ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ออกมาแสดงท่าทีต่อต้านคัดค้าน

เช่นเดียวกับนักวิชาการหลายคน ที่เรียงหน้าออกมาเรียกร้องให้คู่ขัดแย้งทางการเมืองหันหน้าเจรจาหาทางออกร่วมกัน โดยอ้างว่ากลัวความรุนแรง

ความรุนแรงที่นักวิชาการเหล่านี้กลัวกันนักกลัวกันหนา เคยเกิดขึ้นจริง แต่เกิดจากความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งในปี 2552 ซึ่งมีการปลุกระดมคนบุกปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย พยายามไล่ฆ่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น หรือในปี 2553 ซึ่งมีการปลุกระดมจนเกิดการเผาบ้านเผาเมือง

และล่าสุดการปิดล้อมไล่ฆ่านักศึกษารามคำแหง ในการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ราชมังคลากีฬาสถาน ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา

ทำไมนักวิชาการเหล่านี้ไม่ยอมหยิบยกขึ้นมาพูดถึงความรุนแรงที่เกิดจากการ ชุมนุมของคนเสื้อแดง ทำไมจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึงความรุนแรงจากการใช้กำลังปราบปรามกลุ่มผู้นำชุมนุมของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 หรือการใช้กำลังสลายการชุมนุมม็อบเสธ.อ้าย ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์

         การชุมนุมของประชาชนเพื่อประท้วง ต่อต้านหรือขับไล่รัฐบาล เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และเกิดขึ้นทุกประเทศในโลก ซึ่งนักลงทุนต่างชาติยอมรับกันได้ ตราบใดที่ไม่มีการใช้ความรุนแรง

นักธุรกิจและนักวิชาการที่กระแดะออกมาประกาศตัวกลัวผลกระทบทางเศรษฐกิจและความรุนแรงเหล่านี้รู้ดีว่า ประชาชนที่ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่แสดงพฤติกรรมที่จะใช้ความรุนแรง และการชุมนุมเคลื่อนไหวหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เป็นไปด้วยสันติ อหิงสา และมือเปล่า

ทำไมนักธุรกิจและนักวิชาการเหล่านี้ จึงไม่เรียกร้องโดยตรงไปที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขออย่าใช้ความรุนแรงปราบประชาชน

และทำไมจึงไม่ยอมพูดถึงต้นเหตุที่ปลุกให้ประชาชนทุกประเทศลุกฮือขับไล่รัฐบาล

การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อล้างผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแม้จะถูกถอนไปแล้ว แต่การผลักดันกฎหมายฉบับนี้ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้พยายามทำลายขบวนการยุติธรรมเพื่อช่วยคนเพียงคนเดียว

รัฐบาลยิ่งลักษณ์กระทำความผิดไปแล้ว เพราะถ้าประชาชนทั้งประเทศไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน วันนี้กฎหมายล้างมลทินให้พ.ตท.ทักษิณคงมีผลบังคับใช้

ผู้หญิงที่เข้าไปลักทรัพย์ในห้างสรรพสินค้า เพื่อหาเงินมาซื้อนมเลี้ยงลูก ยังต้องติดคุกติดตาราง รัฐบาลทำผิดครั้งใหญ่ พยายามออกกฎหมายล้างผิดให้คนคนเดียว โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้าน จะลืมๆ กันไปหรือ

2 ปีเศษที่ผ่านมา รัฐบาลชุดนี้บริหารงานเพื่อพวกพ้อง ทุจริตกันอย่างโจ๋งครึ่ม ใช้จ่ายงบประมาณอย่างล้างผลาญ จนประเทศเสี่ยงต่อวิกฤต ประชาชนควรจะปล่อยให้เป็นรัฐบาลต่อไปหรือ

นักธุรกิจและนักวิชาการที่ออกมาประสานเสียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้า เจรจากันนั้น ช่วยบอกได้ไหมว่า ต้องการได้ข้อสรุปในการเจรจาแบบไหน

ต้องการต่างคนต่างแยกย้าย ฝ่ายประชาชนกลับบ้าน ส่วนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่ต่อไปงั้นหรือ

12 ปีของระบอบทักษิณ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนคือ ปรากฏการณ์ “ฝีแตก”ทางสังคม ใครเป็นอีแอบ ใครเป็นขี้ข้า ใครมีความคิดบ้าๆ เปิดเผยตัวออกมาหมด

นักธุรกิจที่หดหัวอยู่หลายปี พอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำท่าจะเพลี่ยงพล้ำ ถูกประชาชนทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาขับไล่ กลับเสนอหน้ากันออกมา อ้างว่าห่วงผลกระทบทางเศรษฐกิจ

นักธุรกิจเหล่านี้จะชี้หน้ากันได้ไหมว่า เป็นขี้ข้าทักษิณแทบทั้งนั้น

นักวิชาการที่เสนอหน้าออกมาต่อต้านความรุนแรง จะชี้หน้าได้หรือเปล่าว่า เป็นนักวิชาการขี้ข้าทักษิณ หรือเป็นพวกนักวิชาการบ้าๆ ที่ออกมาสร้างความสับสนในสังคม

ข้อเรียกร้อง คำเสนอแนะนักธุรกิจและนักวิชาการเหล่านี้ จึงไม่มีราคา และมีค่าเพียงเสียงเห่าหอนของขี้ข้า “ทักษิณ” เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น