โศกนาฏกรรมสะเทือนใจคนทั่วประเทศไทย ที่นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ถูกการ์ดติดอาวุธของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไล่ยิงจนมีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีกนับสิบ ติดอยู่ในมหาวิทยาลัยไม่สามารถออกมาได้ ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอด ท่ามกลางความนิ่งเฉยของตำรวจ ที่ยังคงจับกุมคนร้ายไม่ได้ และไม่ได้นำตัวนักศึกษาที่ติดอยู่ออกมา แต่กลับไปอารักขากลุ่ม นปช. ที่ยุติการชุมนุมกลับบ้านแทนนั้น ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนย้อนกลับมายังรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างรวดเร็ว และเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มวลชนทั่วประเทศลุกฮือขึ้น
วันที่ 1 ธ.ค. 56 ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นปฏิบัติการรุกคืบของประชาชนในการพยายามยึดสถานที่ราชการอย่างแข็งขัน และก็ต้องสะเทือนใจอีกครั้ง จากภาพที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยางยิงรวมทั้งขว้างก้อนหินใส่มวลชน
**วันนี้เราไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไประหว่าง การ์ดติดอาวุธ นปช. ชายชุดดำ และตำรวจ ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเนื้อเดียวกันภายใต้ภารกิจการเป็นกองกำลังพิทักษ์ระบอบทักษิณ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า "เรดการ์ด" เหมือนเมื่อสมัยยุค“แก๊ง 4 คน”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เคยตั้งเรดการ์ด มาเพื่อคุกคามประชาชนที่ไม่ยอมสยบต่อนางเจียง ชิง ภริยาของ เหมา เจ๋อตุง และพรรคพวกก่อนที่จะโดนปราบปรามจนสิ้นซากในที่สุด
ความเหิมเกริมลุแก่อำนาจของกลุ่มนปช. ที่เที่ยวคุกคามคนที่ไม่ยอมสยบต่อระบอบทักษิณไปทั่ว ก็เพราะถือดีว่ามีกลุ่มเรดการ์ดเหล่านี้ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ ทั้งที่มาจากพลเรือน ทหารพราน และตำรวจบางส่วนร่วมอยู่ด้วยนั่นเอง ความโหดเหี้ยมที่ปิดมหาวิทยาลัย ไล่ยิงนักศึกษารามในครั้งนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชนคนเสื้อแดงคนธรรมดาๆ ที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่ ที่ถูกอาวุธจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจนเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม และการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารที่ไร้อาวุธ ที่แยกคอกวัว อาทิ พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตามโศกนาฏกรรมที่รามคำแหงครั้งนี้ กลับสร้างเงื่อนไขบางอย่างให้ทหารต้องเริ่มแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลายเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากที่ทหารได้ส่งหน่วยรบไปรับตัวนักศึกษาที่ติดอยู่ในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางความเมินเฉยของตำรวจ ทำให้พวกเรดการ์ด ต้องล่าถอยไป
และกระแสความโกรธแค้นของสังคมไทยจากกรณีนี้ทำให้ผู้ชุมนุมลุกฮือเข้ายึดสถานที่ราชการ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ท่ามกลางการสกัดกั้นจากกองกำลังตำรวจอย่างสุดฤทธิ์ จนก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงจำเป็นต้องต่อสายถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ระงับการใช้แก๊สน้ำตา และผู้ชุมนุมก็หยุดกดดันเป็นการถอยคนละก้าว
ในที่สุดการเจรจาระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้นำเหล่าทัพจึงเกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้การปฏิวัติโดยประชาชนได้มีโอกาสรุกฆาต เมื่อสุเทพ เทือกสุบรรณได้ชิงพื้นที่แถลงข่าวถ่ายทอดผ่านฟรีทีวี ประกาศสถานะของรัฐบาลว่า เป็นกบฏต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จากการออกกฏหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญ และการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลที่ทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย
โดยใช้การรับรู้ของผู้นำเหล่าทัพ ประการจุดยืนการเดินหน้าเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปการเมืองของภาคประชาชน ไม่ยอมรับการยุบสภาและลาออกของรัฐบาล พร้อมคำมั่นสัญญาจากผู้นำเหล่าทัพเป็นหลักประกันว่า จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และเชิญชวนให้ข้าราชการอารยะขัดขืนต่อรัฐบาลที่ถือเป็นกบฏ โดยให้ข้าราชการพากันหยุดงานในวันนี้ ถือเป็นการรับประกันความมั่นใจให้กับข้าราชการในการสำแดงพลังบริสุทธิ์ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่น้อย แม้จะไม่สามารถรับประกันได้เท่ากับหากพรรคประชาธิปัตย์จะประกาศลาออก และไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหากมีการยุบสภาก็ตาม
ดังนั้นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของเรดการ์ดฝั่งรัฐบาล กลับเป็นตัวช่วยทะลวงด่านในการล้มรัฐบาลทั้งสามด่านให้ราบรื่นมากขึ้น กล่าวคือ ด่านมวลมหาประชาชนร่วมกันเคลื่อนไหว ด่านข้าราชการอารยะขัดขืน และด่านตำรวจทหาร ที่ดูจะเป็นคุณกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้เมื่อดูจากดัชนีชี้วัดความเข้มแข็งของรัฐบาลในมิติต่างๆ จะเห็นว่าถดถอยลงไม่น้อย อาทิ ไม่สามารถระดมนปช. เข้ามาร่วมได้ในปริมาณเหมือนเก่า เพราะชาวบ้านต่างรู้ดีว่า มาแล้วได้ไม่คุ้มเสีย, ภาพลักลักษณ์ของเรดการ์ดทำให้ความโกรธแค้นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลมีมากขึ้น และย้อนรำลึกไปถึงกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธที่เคยก่อเหตุมาก่อนหน้านี้, การรับประกันความปลอดภัยของประชาชนโดยผู้นำเหล่าทัพ ทำให้รัฐบาลจัดการมวลชนได้ยากขึ้น
** "จึงมีโอกาสสูงว่า หากว่าการยกระดับการเคลื่อนไหวมีการตอบรับที่ดีขึ้นในทุกทิศทาง ทั้งจากมวลชนและข้าราชการ เมื่อทางรัฐบาลนอมินีชั่งน้ำหนักดูแล้ว ย่อมไม่มีทางลงทางไหนจะดีไปกว่าการประกาศยุบสภาไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างแน่นอน"
ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐบาลยังสามารถทำได้ เพราะถือเป็นการถอยในระบบประชาธิปไตยที่สามารถอ้างอิงกับนานาชาติได้
"ภาระของความยุ่งยากก็จะตกอยู่ในมือภาคประชาชนอีกครั้ง เพราะต่อให้ประชาชนที่ชุมนุมเคลื่อนไหวไม่เอาด้วย เพราะรู้แล้วว่า หากไม่ปฏิรูปการเมืองเสียก่อน ผลการเลือกตั้งก็จะออกมาในลักษณะเดิม หรือถ้ามีการเปลี่ยนขั้ว ก็ยังคงเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคร่วมที่เคยสังฆกรรมกับรัฐบาลชุดเดิม และประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเช่นเดิม แกนนำที่ลุกขึ้นมาต่อสู้และประชาชนที่ชุมนุมก็จะถูกดำเนินคดีล้มล้างการปกครอง คดีกบฏ ก่อการร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนไทยก็ยังจะคอยถูกกลุ่มเรดการ์ด ตามรังแกข่มขู่คุกคามอยู่เช่นเดิม เหตุก็เพราะพรรคฝ่ายค้านในขณะนี้ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงพร้อมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหากมีการยุบสภา"
** การกำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก คือการปิดทางถอยของระบอบทักษิณไม่ให้มีการฟื้นคืนชีพมาได้ใหม่ จึงไม่มีอะไรจะเป็นทางออก นอกจากการปฏิวัติโดยประชาชน และการปฏิรูปทางการเมือง ในที่สุดคนที่มีศักยภาพที่จะช่วยอุดทางถอยของรัฐบาลในรูรั่วรูสุดท้ายนี้ได้ก็ยังคงต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดิม เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงหมากที่รัฐบาลเตรียมตัวที่จะยุบสภาหนี
นาทีนี้ความชอบธรรมของพรรคประชาธิปัตย์มีที่จะไม่สังฆกรรมกับรัฐบาล และประกาศไม่ยอมรับการยุบสภาและส่ง ส.ส.ลงเลือกตั้ง มีมากกว่าครั้งสมัยทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุบสภา แล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่ง ส.ส.ลงรับสมัครเลือกตั้ง เมื่อปี 2549 ทั้งในแง่ที่เป็นการสนับสนุนความต้องการในการปฏิรูปการเมืองของมวลมหาประชาชนในขณะนี้ อีกทั้ง รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นมีสภาพเป็นรัฐบาลกบฏ ดังที่ทุกฝ่ายได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งส.ส.หลายคนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ขึ้นเวทีปราศัยย้ำในตรรกะนี้ในหลายเวทีที่ไปร่วม อันมีประจักษ์พยานชัดเจน
เมื่อรวมเข้ากับหมากที่สุเทพ เทือกสุบรรณได้รุกฆาต น.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลนอมินี ต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพอันเป็นที่รับรู้กันทั้งประเทศ ก็คงจะต้องถึงคิวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะต้องช่วยมวลมหาประชาชนปิดจ๊อบในครั้งนี้ให้ได้ หรืออย่างน้อยก็เห็นแก่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแก่นักศึกษารามฯสักนิด อย่าให้พวกเขาต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างสูญเปล่า
** เวลางวดเข้ามาทุกที ถ้าเปิดช่องให้รัฐบาลโจรกบฏหนี ไม่ทำตามความต้องการของประชาชน ต่อไปจะใช้สโลแกนประชาชนต้องมาก่อนได้อย่างไร ?
จิตตนาถ ลิ้มทองกุล
วันที่ 1 ธ.ค. 56 ที่ผ่านมาเราจึงได้เห็นปฏิบัติการรุกคืบของประชาชนในการพยายามยึดสถานที่ราชการอย่างแข็งขัน และก็ต้องสะเทือนใจอีกครั้ง จากภาพที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนยางยิงรวมทั้งขว้างก้อนหินใส่มวลชน
**วันนี้เราไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไประหว่าง การ์ดติดอาวุธ นปช. ชายชุดดำ และตำรวจ ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเนื้อเดียวกันภายใต้ภารกิจการเป็นกองกำลังพิทักษ์ระบอบทักษิณ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า "เรดการ์ด" เหมือนเมื่อสมัยยุค“แก๊ง 4 คน”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เคยตั้งเรดการ์ด มาเพื่อคุกคามประชาชนที่ไม่ยอมสยบต่อนางเจียง ชิง ภริยาของ เหมา เจ๋อตุง และพรรคพวกก่อนที่จะโดนปราบปรามจนสิ้นซากในที่สุด
ความเหิมเกริมลุแก่อำนาจของกลุ่มนปช. ที่เที่ยวคุกคามคนที่ไม่ยอมสยบต่อระบอบทักษิณไปทั่ว ก็เพราะถือดีว่ามีกลุ่มเรดการ์ดเหล่านี้ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ ทั้งที่มาจากพลเรือน ทหารพราน และตำรวจบางส่วนร่วมอยู่ด้วยนั่นเอง ความโหดเหี้ยมที่ปิดมหาวิทยาลัย ไล่ยิงนักศึกษารามในครั้งนี้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชนคนเสื้อแดงคนธรรมดาๆ ที่มีทั้งผู้หญิงและคนแก่ ที่ถูกอาวุธจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจนเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม และการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารที่ไร้อาวุธ ที่แยกคอกวัว อาทิ พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตามโศกนาฏกรรมที่รามคำแหงครั้งนี้ กลับสร้างเงื่อนไขบางอย่างให้ทหารต้องเริ่มแสดงท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้น ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามบานปลายเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากที่ทหารได้ส่งหน่วยรบไปรับตัวนักศึกษาที่ติดอยู่ในมหาวิทยาลัย ท่ามกลางความเมินเฉยของตำรวจ ทำให้พวกเรดการ์ด ต้องล่าถอยไป
และกระแสความโกรธแค้นของสังคมไทยจากกรณีนี้ทำให้ผู้ชุมนุมลุกฮือเข้ายึดสถานที่ราชการ โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ท่ามกลางการสกัดกั้นจากกองกำลังตำรวจอย่างสุดฤทธิ์ จนก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงจำเป็นต้องต่อสายถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ระงับการใช้แก๊สน้ำตา และผู้ชุมนุมก็หยุดกดดันเป็นการถอยคนละก้าว
ในที่สุดการเจรจาระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้นำเหล่าทัพจึงเกิดขึ้น และเปิดโอกาสให้การปฏิวัติโดยประชาชนได้มีโอกาสรุกฆาต เมื่อสุเทพ เทือกสุบรรณได้ชิงพื้นที่แถลงข่าวถ่ายทอดผ่านฟรีทีวี ประกาศสถานะของรัฐบาลว่า เป็นกบฏต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จากการออกกฏหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญ และการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลที่ทำหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธย
โดยใช้การรับรู้ของผู้นำเหล่าทัพ ประการจุดยืนการเดินหน้าเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปการเมืองของภาคประชาชน ไม่ยอมรับการยุบสภาและลาออกของรัฐบาล พร้อมคำมั่นสัญญาจากผู้นำเหล่าทัพเป็นหลักประกันว่า จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น และเชิญชวนให้ข้าราชการอารยะขัดขืนต่อรัฐบาลที่ถือเป็นกบฏ โดยให้ข้าราชการพากันหยุดงานในวันนี้ ถือเป็นการรับประกันความมั่นใจให้กับข้าราชการในการสำแดงพลังบริสุทธิ์ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่น้อย แม้จะไม่สามารถรับประกันได้เท่ากับหากพรรคประชาธิปัตย์จะประกาศลาออก และไม่ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหากมีการยุบสภาก็ตาม
ดังนั้นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นจากฝีมือของเรดการ์ดฝั่งรัฐบาล กลับเป็นตัวช่วยทะลวงด่านในการล้มรัฐบาลทั้งสามด่านให้ราบรื่นมากขึ้น กล่าวคือ ด่านมวลมหาประชาชนร่วมกันเคลื่อนไหว ด่านข้าราชการอารยะขัดขืน และด่านตำรวจทหาร ที่ดูจะเป็นคุณกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนมากขึ้น
ทั้งนี้เมื่อดูจากดัชนีชี้วัดความเข้มแข็งของรัฐบาลในมิติต่างๆ จะเห็นว่าถดถอยลงไม่น้อย อาทิ ไม่สามารถระดมนปช. เข้ามาร่วมได้ในปริมาณเหมือนเก่า เพราะชาวบ้านต่างรู้ดีว่า มาแล้วได้ไม่คุ้มเสีย, ภาพลักลักษณ์ของเรดการ์ดทำให้ความโกรธแค้นที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลมีมากขึ้น และย้อนรำลึกไปถึงกลุ่มชายชุดดำติดอาวุธที่เคยก่อเหตุมาก่อนหน้านี้, การรับประกันความปลอดภัยของประชาชนโดยผู้นำเหล่าทัพ ทำให้รัฐบาลจัดการมวลชนได้ยากขึ้น
** "จึงมีโอกาสสูงว่า หากว่าการยกระดับการเคลื่อนไหวมีการตอบรับที่ดีขึ้นในทุกทิศทาง ทั้งจากมวลชนและข้าราชการ เมื่อทางรัฐบาลนอมินีชั่งน้ำหนักดูแล้ว ย่อมไม่มีทางลงทางไหนจะดีไปกว่าการประกาศยุบสภาไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างแน่นอน"
ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐบาลยังสามารถทำได้ เพราะถือเป็นการถอยในระบบประชาธิปไตยที่สามารถอ้างอิงกับนานาชาติได้
"ภาระของความยุ่งยากก็จะตกอยู่ในมือภาคประชาชนอีกครั้ง เพราะต่อให้ประชาชนที่ชุมนุมเคลื่อนไหวไม่เอาด้วย เพราะรู้แล้วว่า หากไม่ปฏิรูปการเมืองเสียก่อน ผลการเลือกตั้งก็จะออกมาในลักษณะเดิม หรือถ้ามีการเปลี่ยนขั้ว ก็ยังคงเป็นรัฐบาลผสมกับพรรคร่วมที่เคยสังฆกรรมกับรัฐบาลชุดเดิม และประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเช่นเดิม แกนนำที่ลุกขึ้นมาต่อสู้และประชาชนที่ชุมนุมก็จะถูกดำเนินคดีล้มล้างการปกครอง คดีกบฏ ก่อการร้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนไทยก็ยังจะคอยถูกกลุ่มเรดการ์ด ตามรังแกข่มขู่คุกคามอยู่เช่นเดิม เหตุก็เพราะพรรคฝ่ายค้านในขณะนี้ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงพร้อมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งหากมีการยุบสภา"
** การกำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก คือการปิดทางถอยของระบอบทักษิณไม่ให้มีการฟื้นคืนชีพมาได้ใหม่ จึงไม่มีอะไรจะเป็นทางออก นอกจากการปฏิวัติโดยประชาชน และการปฏิรูปทางการเมือง ในที่สุดคนที่มีศักยภาพที่จะช่วยอุดทางถอยของรัฐบาลในรูรั่วรูสุดท้ายนี้ได้ก็ยังคงต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดิม เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงหมากที่รัฐบาลเตรียมตัวที่จะยุบสภาหนี
นาทีนี้ความชอบธรรมของพรรคประชาธิปัตย์มีที่จะไม่สังฆกรรมกับรัฐบาล และประกาศไม่ยอมรับการยุบสภาและส่ง ส.ส.ลงเลือกตั้ง มีมากกว่าครั้งสมัยทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุบสภา แล้วพรรคประชาธิปัตย์ไม่ส่ง ส.ส.ลงรับสมัครเลือกตั้ง เมื่อปี 2549 ทั้งในแง่ที่เป็นการสนับสนุนความต้องการในการปฏิรูปการเมืองของมวลมหาประชาชนในขณะนี้ อีกทั้ง รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นมีสภาพเป็นรัฐบาลกบฏ ดังที่ทุกฝ่ายได้กล่าวไปแล้ว ซึ่งส.ส.หลายคนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ขึ้นเวทีปราศัยย้ำในตรรกะนี้ในหลายเวทีที่ไปร่วม อันมีประจักษ์พยานชัดเจน
เมื่อรวมเข้ากับหมากที่สุเทพ เทือกสุบรรณได้รุกฆาต น.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลนอมินี ต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพอันเป็นที่รับรู้กันทั้งประเทศ ก็คงจะต้องถึงคิวของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะต้องช่วยมวลมหาประชาชนปิดจ๊อบในครั้งนี้ให้ได้ หรืออย่างน้อยก็เห็นแก่โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแก่นักศึกษารามฯสักนิด อย่าให้พวกเขาต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างสูญเปล่า
** เวลางวดเข้ามาทุกที ถ้าเปิดช่องให้รัฐบาลโจรกบฏหนี ไม่ทำตามความต้องการของประชาชน ต่อไปจะใช้สโลแกนประชาชนต้องมาก่อนได้อย่างไร ?
จิตตนาถ ลิ้มทองกุล