ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองร้อนระอุในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งปกติจะเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการซ่อมแซมบ้านเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเดินทางมาถึงในช่วงปีใหม่ ที่ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างมีความเคลื่อนไหวที่น่าตื่นตาตื่นใจหลายประการเลยทีเดียว
ตลาดสีทาบ้านเป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีการแข่งขันกันอย่างอย่างรุนแรงและดุเดือด ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แรงซื้อในตลาดค่อนข้างหดตัว จากภาวะหนี้สินครัวเรือนที่พุ่ง การเมืองที่ร้อนแรง ส่งผลให้ในปีนี้ตลาดสี ที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท อาจลดลงเหลือประมาณ17,000 ล้านบาท
แต่กระนั้นเหล่าบรรดาแบรนด์ค่ายสีต่างๆ ต่างออกกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพของสี นวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงตัวผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น หรือโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ เป็นเครื่องมือกระตุ้นต่อมความต้องการของลูกค้าเพื่อออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น
ในขณะที่เบอร์หนึ่งของตลาดสี TOA ที่ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 50% พร้อมกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีสีด้วยการ เปิดตัว TOA Color World เครื่องผสมสีอัตโนมัติด้วยคอมพิวเตอร์ (Computerized Tinting System) เครื่องผสมสีนี้ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของร้านค้าที่ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันทีในเรื่องความหลากหลายของเฉดสี พร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ที่ถือเป็นจุดขายสำคัญ อย่างหนึ่งของเครื่องผสมสีเพื่อสุขภาพ คือสามารถลดการปล่อยสาร VOCs (Volatile Organic Compounds) สารระเหยที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและก่อมะเร็ง ให้มีค่าต่ำที่สุดในตลาดสีเมืองไทย จึงให้ความปลอดภัยกว่าเดิมถึง 10 เท่า
โดยทีโอเอได้ออกแคมเปญนี้พร้อมออกภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “The Hotel” HYPERLINK “http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=-5s7Tnq3_gI” ซีรีส์ 4 ชุด ภายใต้แนวคิด “ผสมความสุข ตอบทุกสีสันของชีวิต” ซึ่งหนังโฆษณาชุดนี้คว้ารางวัล “สุดยอดหนังโฆษณาแห่งปี (Best of Film)” จากหนังโฆษณาชุด “The Hotel” ภายใต้แคมเปญเครื่องผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOA Color World จากงานประกาศผลรางวัล Adman & Symposium Award 2013 ของสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอีกด้วย
ทีโอเอ คาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายกว่า 500 ล้านบาท คิดเป็น 10% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้จากเครื่องผสมสี 5,000 ล้านบาทในปี 2013 ในขณะที่ตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท และเป้าหมายยอดขายรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท
และอีกหนึ่งเกมรุกทางการตลาดเพื่อตอกย้ำการเป็นนวัตกรรมแห่งเทคโนโลยีสีเพื่อชีวิต และสิ่งแวดล้อม “ทีโอเอ” ได้ผนึกกำลัง “ดูปองท์” บริษัทนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก รุกตลาดสีอัลตร้พรีเมียมด้วยการพัฒนาสุดยอดนวัตกรรมแห่งเทคโนโลยีสีเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม สี SuperShieldTMโดยผลิตภัณฑ์นี้ชนะที่ 1 ของการทดสอบระดับโลก ด้วยมาตรฐาน ASTM E424 จากสหรัฐอเมริกา การทดสอบมาตรฐานสีระดับสากล (World Class Standard)
พงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีทาอาคาร “ทีโอเอ” เปิดเผยว่า บริษัทได้ใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อทำตลาดสีทาอาคารในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยปีนี้ได้ตั้งงบฯ ทำการตลาดไว้ทั้งสิ้น 250-300 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าการแข่งขันจะรุนแรงปลายปี โดยเฉพาะกลุ่มสีราคาสูงอย่างอัลตร้าพรีเมียม และกลุ่มสีพรีเมียม
ปัจจุบันสีทีโอเอวางจำหน่ายตามร้านจำหน่ายสีแล้วประมาณ 5,000 จุด โดยเป็นร้านที่มีเครื่องผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOA Color World ครอบคลุมอยู่มากกว่า 2,000 จุดทั่วประเทศ และทีโอเอยังมีร้านจำหน่ายสีอีก มากกว่า 3,000 จุด กระจายครอบคลุมอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ มั่นใจว่า SuperShield จะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จากทีโอเอที่นำร่องช่วยขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้ พร้อมเตรียมความพร้อมการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่จะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสทางธุรกิจสูงมาก จากจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคน
ด้านสีเบเยอร์ ผู้นำสีย้อมไม้ ที่ได้ปฏิวัติวงการสี ส่งท้ายปี ด้วยการเปิดนวัตกรรมสุดล้ำ “ เครื่องขายสีหยอดเหรียญอัตโนมัติ ( Beer Be Yours @ Home) เครื่องแรกในเอเชีย ที่นำเข้าจากอิตาลี พร้อมทุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “ Beger Be Yours… Be You, Be different!” โดยหวังดันยอดรายได้ กว่า 700 ล้านบาทในปี 2557
วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ รองประธานบริหาร กลุ่มบริษัท สีเบเยอร์ ระบุว่า “ ปัจจุบันสีทาบ้าน เติบโตแบบก้าวกระโดด ผู้บริโภคให้ความสนใจใช้สีตามความชอบ บ่งบอกสไตล์ตัวเอง และ ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แคมเปญนี้ได้มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ โดยให้ผู้บริโภคได้ปฏิวัติมุมมองการเลือกซื้อสี ได้ตามที่ใจต้องการ” ซึ่งถือว่า เป็นการปฏิวัติวงการสีทีเดียว และเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ได้มากที่สุด
“เครื่องหยอดเหรียญนี้ได้เปิดตัวแล้วในอเมริกาและยุโรป ในขณะที่ไทยเป็นการเปิดตัวครั้ง
แรกและครั้งแรกในเอเชีย ซึ่งเครื่องนี้เปรียบเสมือนเป็นทูต ที่จะสื่อเพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงความต้องการของตนเอง และสะท้อนความเป็นตัวตนมากขึ้น โดยสามารถเลือกสีที่ตรงใจ และกล้าที่จะเลือกสีที่ต้องการอย่างแท้จริง และสามารถเลือกตัดสินใจเลือกสีทาบ้านได้ง่ายขึ้น ซึ่งเพียงแต่เลือกเฉดสี กดเบอร์เฉดสีที่เลือก และหยอดเหรียญ และรอเวลาเพียง 4 นาที คุณก็จะได้ สีที่คุณต้องการมาทดลองทาบนผนังหรือสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งจะเป็น guildline ได้ว่าสีที่คุณเลือกนั้นเหมาะกับสภาพห้องหรือไม่ ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อจริงๆ โดยเครื่องนี้จะวางในที่ต่างๆ ซึ่งอาจจะป็นตามร้านค้าแบบ Tradition Trade หรือตามสถานที่เด่นๆ ทั่วไป เพื่อดึงดูดให้ลูกค้า” วรวัฒน์กล่าว
ซึ่งช่องทางในการจำหน่าย กลุ่มเบเยอร์ได้เน้นช่องทางการสั่งซื้อผ่านออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อตอบรับความเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ สีเบเยอร์จะให้ความสำคัญกับ Digital marketing มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารการตลาดบนสื่อ Social network และ Online marketing ตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคดิจิตอล ซึ่งในปัจจุบันช่องทางการซื้อสีทางออนไลน์ของไทย ยังไม่มี ในขณะที่จีนหรือสิงค์โปร์ มีการสั่งซื้อทางออนไลน์ แล้ว ประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวมของสี
ปัจจุบัน เบเยอร์มีศูนย์จำหน่ายสีทั่วประเทศ 1,500 แห่ง โดยในปีหน้ามีแผนจะเพิ่มศูนย์จำหน่ายอีก 200 แห่ง รวมเป็น 1,700 แห่ง
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดสีอาคารในปีนี้ เกริกฤทธิ์ แสงทอง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ ได้มองว่า ปีนี้ ตลาดได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้ที่สูงขึ้น หรือการที่คนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำได้มากขึ้น แต่คนจะมุ่งเน้นในการจับจ่ายเพื่อเน้นความ entertain มากกว่าการที่จะหันมาซื้อสีทาบ้าน ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งมีส่วนทำให้สภาวะการซื้อชะลอตัว
“ยอดขายของสีเบเยอร์ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาเติบโตเพียง10% จากเป้าทั้งปีตั้งไว้เติบโต 25% ซึ่งยังถือว่ามีการเติบโตสวนทางกับตลาดสีที่หดตัวถือว่าไม่แย่จนเกินไป” เกริกฤทธิ์กล่าว
ด้านแบรนด์สีกัปตันที่รุกทำตลาดภายใต้สโลแกน “ก้าวสำคัญของเรา” ถึงจะมีค่ายสีเบอร์หนึ่ง ทีโอเอ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ก็อยู่ภายใต้การทำงานที่อิสระโดยปีนี้สีกัปตันวางกลยุทธ์ทางการตลาดโดยเน้นจัดโปรโมชั่น แจกของแถม เช่น เสื้อแจ็กเกต หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้า และลุ้นโชครางวัล เพื่อเป็นตัวกระตุ้นยอดขายจากลูกค้า รวมทั้งมุ่งเน้นการจัดสัมมนาให้ความรู้กับช่างทาสีทั่วประเทศ ภายใต้แผนการตลาดในปีนี้ ที่จะสร้างตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก เน้นกิจกรรมส่งเสริมการขาย การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และเทคนิคงานสีต่าง ๆ โดยสี กัปตัน โค๊ทติ้งฯ ตั้งเป้าขยายตัว 30% หรือยอดขายเกือบ 1,500 ล้านบาท
ขณะที่สี เจบีพี แบรนด์ไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยึดมั่นสโลแกนที่คุ้นหู ว่า “เจบีพี ใช้ดีจึงบอกเพื่อน” ได้สานต่อธุรกิจจากรุ่นพ่อมายังลูกชาย ในช่วงเวลา 35 ปีในปีนี้ พร้อมกับการรีเฟรชแบรนด์ และนโยบายหลักของปีนี้ที่ปรับเป้าหมายตลาดสู่สินค้าระดับบนมากขึ้น พร้อมทำการตลาดเชิงรุก เน้นคุณภาพสูง และราคาที่สู้คู่แข่งได้ ผนวกกับการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับดีลเลอร์ และการเข้าถึงผู้บริโภคโดยผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการจัดโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมยอดขายอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการขยายศูนย์ผสมสี JBP Color Universe ไปยังทั่วประเทศด้วย
การแข่งขันในตลาดสีด้วยเป้าหมายขยับยอดขายคงระอุร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า การช่วงชิงพื้นที่ของกลุ่มสีต่างๆ บนถนนการเมืองไทยมากนัก เพียงแต่เดิมพันในวงการอุตสาหกรรมสี ย่อมไม่อาจเทียบกับเดิมพันใหญ่ว่าด้วยอนาคตของชาติที่มีมูลค่าและคุณค่าอย่างหาค่าไม่ได้นี้