อคส.โดดอุ้มรัฐบาล การันตีทำข้าวถุงโปร่งใส ไร้ทุจริต ทั้งขั้นตอนการหาผู้ปรับปรุง และจัดจำหน่าย ไม่มีใบสั่งการเมือง ส่วนการขายข้าวคืนโรงสี รับบางรายมีเซ็นสัญญากันไว้จริง แต่ไม่มีใครทำ เหตุถ้าจะโกง คนรับข้าวไปกระจายต้องไม่มีข้าวเหลืออยู่ในมือ ย้ำรัฐให้ทำข้าวถุง 2.5 ล้านตันจริง แต่เบิกไปใช้แค่ 5.9 แสนตัน ปัดข้าวถุงส่งภาคใต้ไม่ได้หาย แต่ไม่ได้จ่ายเงิน จึงไม่ส่งข้าวที่เหลือให้ ขณะที่“นิวัฒน์ธำรง” สั่งหยุดผลิตข้าวถุงแล้ว
นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการอภิปรายพาดพิงในสภาผู้แทนราษฎรถึงการจัดทำข้าวถุงของ อคส. ว่า อคส.ยืนยันว่าการดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุง มีขั้นตอนและวิธีการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ได้มีการทุจริตตามที่ถูกกล่าวหา แต่กรณีที่มีข้อสงสัยว่าจะมีการทุจริต ก็มีกระบวนการตรวจสอบ ทั้งกระบวนการภายในที่ อคส. ดำเนินการเป็นปกติ และการตรวจสอบที่สั่งดำเนินการโดยคณะกรรมการ อคส. (บอร์ด) ซึ่งขณะนี้ ก็มีการตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ที่มีการตั้งข้อสงสัยอยู่
ทั้งนี้ ในการจัดหาผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าว และตัวแทนจำหน่ายข้าวถุง ก็มีการเปิดประกาศชัดเจนผ่านเว็บไซต์ของ อคส. มีขั้นตอนการดำเนินการที่โปร่งใส ไม่ได้มีการล็อคสเป็กเพื่อรายใดรายหนึ่ง และที่มีการกล่าวหาว่าบางบริษัทเกี่ยวโยงกับการเมือง หรือมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งในการคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการ ก็ได้มีการตรวจสอบแล้ว และไม่พบความผิดปกติอะไร เพราะหนังสือรับรองนิติบุคคลที่บริษัทนำมายื่น ก็มาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ได้มีใครมาสั่งให้เลือกบริษัทนั้นบริษัทนี้
ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่า ข้าวถุงที่ผลิตออกมาแล้ว ไม่ได้ถูกกระจายไปขายให้กับประชาชน แต่มีการขายคืนให้กับโรงสี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บางรายมีการเซ็นสัญญาไว้อย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่เคยมีการดำเนินการตามนั้น ไม่เคยมีการซื้อขายเกิดขึ้น เพราะถ้าจะทุจริตกัน ก็ต้องมีหลักฐานที่สาวถึงได้ เช่น บริษัทตัวแทนจำหน่ายรับข้าวไป 10 ล้านถุง แต่กระจายได้แค่ 2-3 ล้านถุง ยังมีข้าวเหลืออีกมาก ถ้าทุจริตโดยการขายคืนโรงสี ก็ต้องไม่มีข้าวเหลือ
“ที่มีการกล่าวหาว่า บริษัทที่รับกระจายข้าวถุง มี 2 ราย ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำการค้าขายไม่เป็น หรืออีกรายที่เป็นบริษัททำดอกไม้แห้งสมุนไพรส่งออก ก็ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ถือว่ามีประสบการณ์ที่จะค้าขายได้”
สำหรับประเด็นข้าวการอนุมัติให้จัดทำข้าวถุง 2.5 ล้านตัน ซึ่งนโยบายต้องการที่จะให้มีข้าวถุงราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมีการเบิกไปแล้ว 1.1 ล้านตัน แต่ไม่ได้นำไปผลิตทั้งหมด เบิกไปผลิตเพียง 5.9 แสนตัน เท่ากับว่ามีการนำข้าวไปทำข้าวถุงเพียงเท่านั้น ไม่ได้มากอย่างที่ถูกกล่าวหา
นายชนุตร์ปกรณ์กล่าวว่า กรณีการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงในภาคใต้ เป็นการการจำหน่ายข้าวให้กับคณะกรรมการอิสลาม จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 9.7 แสนถุง โดยในสัญญาเป็นการทยอยชำระเงิน ทยอยส่งมอบ ซึ่งการส่งมอบตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.-24 ก.ค.2556 ทำได้ 560,800 ถุง และได้หยุดไปตั้งแต่นั้น คงเหลือที่ยังไม่ชำระเงินและส่งมอบ 409,200 ถุง แสดงว่าข้าวไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ได้มีการจ่ายเงิน จึงไม่ได้ส่งมอบข้าวให้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ระบุว่ามีการทุจริตในการจัดทำข้าวถุง โดย อคส. ได้ร่วมมือกับโรงสีที่ปรับปรุงคุณภาพข้าว และผู้จัดจำหน่าย ไม่ได้นำข้าวถุงที่ผลิตไปขายให้ประชาชน แต่ผู้จัดจำหน่ายนำไปขายคืนให้โรงสี โดยมีนักการเมือง โรงสีและบริษัทที่ใกล้ชิดนักการเมืองเข้ามารับงาน
และหาประโยชน์จากโครงการจัดทำข้าวถุง
****"นิวัฒน์ธำรง” สั่งหยุดผลิตข้าวถุง ตรา อคส.แล้ว
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเรื่องการทุจริตการจัดทำข้าวถุง อคส.ว่า หากไม่ได้ถูกพาดพิงและเกิดความเสียหาย เขาห้ามพูด ก็เลยไม่ได้ตอบ ตอบแต่เฉพาะเรื่องที่ถูกพาดพิงและเสียหาย เรื่องข้าวถุงก็ตอบไปบางส่วน และขอยืนยันว่าการทำงานมีหลายระดับ ทั้งฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติเรื่องนี้ผิดตรงไหน ถ้าฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายปฏิบัติก็ต้องเล่นงานตรงจุดนั้น เรื่องที่พูดเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติส่วนใหญ่จึงปฏิเสธ มิเช่นนั้นจะเกิดความเสียหาย เพราะรัฐมนตรีและนายกฯ ไม่ได้เกี่ยวด้วย และเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบอยู่แล้ว มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้ามีข้อผิดพลาดหรือมีการกระทำผิดก็ต้องมีการดำเนินการเด็ดขาดตามกฎหมาย ซึ่งได้สั่งให้หยุดการผลิตข้าวถุงแล้ว ให้เคลียร์ทุกอย่างก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ส่วนที่ระบุว่าเอาข้าวมาทำข้าวถุง 2.5 ล้านตันนั้นไม่จริงเพราะทำจริงแค่ 5 แสนตัน ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นอื่น ๆ หากมีเบาะแสก็จะต้องไปดำเนินการาสอบสวน ทำให้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่จะต้องทำโดยเร็ว ส่ วนการไปให้ปากคำกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รัฐบาลอาจจะถูกถล่มเรื่องข้าวถุง นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ป.ป.ช. ประเด็นหลักก็ต้องตรวจสอบ ว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ ใครกระทำผิดก็ต้องลงโทษ ตนส่งเสริมเลยว่าทุกภาคส่วนต้องมาร่วมกันจับขโมย ถ้ามีจริงการลงไปจัดการก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวกรณีชาวนาได้แต่ใบประทวน โครงการรับจำนำข้าวครั้งที่ 1 ปี 2556/57 ว่า โครงการเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค.2556 จนถึงปัจจุบัน ชาวนายังไม่ได้รับเงินค่าข้าว มีเพียงใบประทวนที่ยืนยันว่าชาวนาได้จำนำข้าวจริง มีความเดือดร้อนถ้วนหน้า
ปัญหาตอนนี้คือต้องจ่ายค่าเช่านาก่อนจึงจะเตรียมพื้นที่ก่อนการเพาะปลูกนาปรังได้ แต่การจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าล่าช้า ชาวนาจำนวนมากจึงต้องเจรจากับโรงสีเพื่อขอกู้เงิน โดยใช้ใบประทวนค้ำประกันตันละ 8,000 บาท จากราคาข้าวในใบประทวนที่ตันละ 12,000 - 13,000 บาท ต่ำกว่าราคาข้าวที่กำหนดไว้ในโครงการที่ตันละ 15,000 บาทจากการหักค่าความชื้น
ประกอบกับในช่วงนี้ยังครบกำหนดการชำระเงินคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ซึ่งการทวงหนี้ส่วนนี้เป็นคนละส่วนกับการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าว ชาวนาจึงต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาใช้ในส่วนนี้ก่อน
นอกจากนี้ทราบว่ากระทรวงพาณิชย์รับที่จะให้สำรองจ่ายเงินเกษตรกรไปก่อน แต่จนถึงวันนี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงยังไม่จ่ายเงินจนชาวนาได้รับความเดือดร้อนทั่วหน้า
นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการอภิปรายพาดพิงในสภาผู้แทนราษฎรถึงการจัดทำข้าวถุงของ อคส. ว่า อคส.ยืนยันว่าการดำเนินการจัดทำข้าวสารบรรจุถุง มีขั้นตอนและวิธีการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ได้มีการทุจริตตามที่ถูกกล่าวหา แต่กรณีที่มีข้อสงสัยว่าจะมีการทุจริต ก็มีกระบวนการตรวจสอบ ทั้งกระบวนการภายในที่ อคส. ดำเนินการเป็นปกติ และการตรวจสอบที่สั่งดำเนินการโดยคณะกรรมการ อคส. (บอร์ด) ซึ่งขณะนี้ ก็มีการตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ที่มีการตั้งข้อสงสัยอยู่
ทั้งนี้ ในการจัดหาผู้ปรับปรุงคุณภาพข้าว และตัวแทนจำหน่ายข้าวถุง ก็มีการเปิดประกาศชัดเจนผ่านเว็บไซต์ของ อคส. มีขั้นตอนการดำเนินการที่โปร่งใส ไม่ได้มีการล็อคสเป็กเพื่อรายใดรายหนึ่ง และที่มีการกล่าวหาว่าบางบริษัทเกี่ยวโยงกับการเมือง หรือมีนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง ซึ่งในการคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาดำเนินการ ก็ได้มีการตรวจสอบแล้ว และไม่พบความผิดปกติอะไร เพราะหนังสือรับรองนิติบุคคลที่บริษัทนำมายื่น ก็มาจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ได้มีใครมาสั่งให้เลือกบริษัทนั้นบริษัทนี้
ส่วนกรณีที่มีการโจมตีว่า ข้าวถุงที่ผลิตออกมาแล้ว ไม่ได้ถูกกระจายไปขายให้กับประชาชน แต่มีการขายคืนให้กับโรงสี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บางรายมีการเซ็นสัญญาไว้อย่างนั้นจริง แต่ก็ไม่เคยมีการดำเนินการตามนั้น ไม่เคยมีการซื้อขายเกิดขึ้น เพราะถ้าจะทุจริตกัน ก็ต้องมีหลักฐานที่สาวถึงได้ เช่น บริษัทตัวแทนจำหน่ายรับข้าวไป 10 ล้านถุง แต่กระจายได้แค่ 2-3 ล้านถุง ยังมีข้าวเหลืออีกมาก ถ้าทุจริตโดยการขายคืนโรงสี ก็ต้องไม่มีข้าวเหลือ
“ที่มีการกล่าวหาว่า บริษัทที่รับกระจายข้าวถุง มี 2 ราย ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำการค้าขายไม่เป็น หรืออีกรายที่เป็นบริษัททำดอกไม้แห้งสมุนไพรส่งออก ก็ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ ถือว่ามีประสบการณ์ที่จะค้าขายได้”
สำหรับประเด็นข้าวการอนุมัติให้จัดทำข้าวถุง 2.5 ล้านตัน ซึ่งนโยบายต้องการที่จะให้มีข้าวถุงราคาถูกเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมีการเบิกไปแล้ว 1.1 ล้านตัน แต่ไม่ได้นำไปผลิตทั้งหมด เบิกไปผลิตเพียง 5.9 แสนตัน เท่ากับว่ามีการนำข้าวไปทำข้าวถุงเพียงเท่านั้น ไม่ได้มากอย่างที่ถูกกล่าวหา
นายชนุตร์ปกรณ์กล่าวว่า กรณีการจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงในภาคใต้ เป็นการการจำหน่ายข้าวให้กับคณะกรรมการอิสลาม จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 9.7 แสนถุง โดยในสัญญาเป็นการทยอยชำระเงิน ทยอยส่งมอบ ซึ่งการส่งมอบตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.-24 ก.ค.2556 ทำได้ 560,800 ถุง และได้หยุดไปตั้งแต่นั้น คงเหลือที่ยังไม่ชำระเงินและส่งมอบ 409,200 ถุง แสดงว่าข้าวไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ได้มีการจ่ายเงิน จึงไม่ได้ส่งมอบข้าวให้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ระบุว่ามีการทุจริตในการจัดทำข้าวถุง โดย อคส. ได้ร่วมมือกับโรงสีที่ปรับปรุงคุณภาพข้าว และผู้จัดจำหน่าย ไม่ได้นำข้าวถุงที่ผลิตไปขายให้ประชาชน แต่ผู้จัดจำหน่ายนำไปขายคืนให้โรงสี โดยมีนักการเมือง โรงสีและบริษัทที่ใกล้ชิดนักการเมืองเข้ามารับงาน
และหาประโยชน์จากโครงการจัดทำข้าวถุง
****"นิวัฒน์ธำรง” สั่งหยุดผลิตข้าวถุง ตรา อคส.แล้ว
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเรื่องการทุจริตการจัดทำข้าวถุง อคส.ว่า หากไม่ได้ถูกพาดพิงและเกิดความเสียหาย เขาห้ามพูด ก็เลยไม่ได้ตอบ ตอบแต่เฉพาะเรื่องที่ถูกพาดพิงและเสียหาย เรื่องข้าวถุงก็ตอบไปบางส่วน และขอยืนยันว่าการทำงานมีหลายระดับ ทั้งฝ่ายนโยบายและฝ่ายปฏิบัติเรื่องนี้ผิดตรงไหน ถ้าฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายปฏิบัติก็ต้องเล่นงานตรงจุดนั้น เรื่องที่พูดเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติส่วนใหญ่จึงปฏิเสธ มิเช่นนั้นจะเกิดความเสียหาย เพราะรัฐมนตรีและนายกฯ ไม่ได้เกี่ยวด้วย และเรื่องนี้มีการตั้งคณะกรรมการเข้าไปตรวจสอบอยู่แล้ว มีการรวบรวมพยานหลักฐาน ถ้ามีข้อผิดพลาดหรือมีการกระทำผิดก็ต้องมีการดำเนินการเด็ดขาดตามกฎหมาย ซึ่งได้สั่งให้หยุดการผลิตข้าวถุงแล้ว ให้เคลียร์ทุกอย่างก่อนแล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ส่วนที่ระบุว่าเอาข้าวมาทำข้าวถุง 2.5 ล้านตันนั้นไม่จริงเพราะทำจริงแค่ 5 แสนตัน ส่วนเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นอื่น ๆ หากมีเบาะแสก็จะต้องไปดำเนินการาสอบสวน ทำให้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่จะต้องทำโดยเร็ว ส่ วนการไปให้ปากคำกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รัฐบาลอาจจะถูกถล่มเรื่องข้าวถุง นายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้ป.ป.ช. ประเด็นหลักก็ต้องตรวจสอบ ว่ามีการกระทำผิดจริงหรือไม่ ใครกระทำผิดก็ต้องลงโทษ ตนส่งเสริมเลยว่าทุกภาคส่วนต้องมาร่วมกันจับขโมย ถ้ามีจริงการลงไปจัดการก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาแห่งประเทศไทย กล่าวกรณีชาวนาได้แต่ใบประทวน โครงการรับจำนำข้าวครั้งที่ 1 ปี 2556/57 ว่า โครงการเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ต.ค.2556 จนถึงปัจจุบัน ชาวนายังไม่ได้รับเงินค่าข้าว มีเพียงใบประทวนที่ยืนยันว่าชาวนาได้จำนำข้าวจริง มีความเดือดร้อนถ้วนหน้า
ปัญหาตอนนี้คือต้องจ่ายค่าเช่านาก่อนจึงจะเตรียมพื้นที่ก่อนการเพาะปลูกนาปรังได้ แต่การจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าล่าช้า ชาวนาจำนวนมากจึงต้องเจรจากับโรงสีเพื่อขอกู้เงิน โดยใช้ใบประทวนค้ำประกันตันละ 8,000 บาท จากราคาข้าวในใบประทวนที่ตันละ 12,000 - 13,000 บาท ต่ำกว่าราคาข้าวที่กำหนดไว้ในโครงการที่ตันละ 15,000 บาทจากการหักค่าความชื้น
ประกอบกับในช่วงนี้ยังครบกำหนดการชำระเงินคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) ซึ่งการทวงหนี้ส่วนนี้เป็นคนละส่วนกับการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าว ชาวนาจึงต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินมาใช้ในส่วนนี้ก่อน
นอกจากนี้ทราบว่ากระทรวงพาณิชย์รับที่จะให้สำรองจ่ายเงินเกษตรกรไปก่อน แต่จนถึงวันนี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงยังไม่จ่ายเงินจนชาวนาได้รับความเดือดร้อนทั่วหน้า
