ASTVผู้จัดการรายวัน ธุรกิจต่างๆแจงม็อบต่อต้านนิรโทษครั้งนี้ไม่น่าจะรุนแรง แต่หวั่นม็อบลากยาวส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจแน่นอน หลายธุรกิจชี้คงเป็นผลระยะสั้น ยังมันใจศักยภาพเศรษฐกิจของไทยพื้นฐานยังแกร่ง
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้าในย่านราชประสงค์มากนัก เพราะอยู่ต่างพื้นที่กันและคาดว่าคงจะไม่รุนแรง หรือยืดเยื้อเหมือนปี 2553 ซึ่งผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ได้รับความเสียหายถึง 1.12 หมื่นล้านบาท โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ พยายามดำเนินกิจกรรมและเคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
สำหรับภาวะการค้าในย่านราชประสงค์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แม้ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ค่อนข้างซบเซา แต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีและใกล้เคียงกับสถานการณ์ปรกติ ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายผู้บริโภคอาจมีกำลังซื้ออาจต่ำลงเนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้นจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายรถยนต์คันแรกและค่าแรง 300 บาท สมาคมฯ จึงเตรียมแคมเปญใหญ่คือ “Happiness is All Around @ Ratchaprasong” ในระหว่างวันที่ 19 พ.ย.56 – 31 ม.ค.57 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางมาซื้อสินค้าและบริการมากถึงวันละ 3.51 แสนคน พร้อมสร้างรายได้สูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท
“การจัดแคมเปญดังกล่าวถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นทั้งในรูปแบบของการช้อปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว และการสักการระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เนื่องจากโครงการใหม่ๆ ในพื้นที่ราชประสงค์ไม่ต่ำกว่า 2-3 แห่งจะเริ่มเปิดให้บริการ ยิ่งถ้าหากภาครัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับปัจจัยเสริมจากภาคการส่งออกและเกษตรกรรมโดยเฉพาะนโยบายเรื่องข้าวก็จะทำให้ผู้บริโภคคนไทยมีกำลังซื้อสูงขึ้น”
นายชาย กล่าวในตอนท้ายว่า ในความเป็นจริงแล้วการชุมนุมทางการเมืองไม่ถือเป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลในระบบประชาธิปไตย รัฐบาลไม่อาจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมประท้วง หรือเดินขบวนเรียกร้องของประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากแต่การชุมนุมดังกล่าวนั้นจะต้องไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของกันและกัน แต่ปัญหาสำคัญที่มักเกิดขึ้นในการชุมนุมแต่ละครั้งคือวิธีการจัดการการชุมนุม รวมถึงการมีมือที่สามเข้ามาสอดแทรกจนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ จนไม่สามารถควบคุมได้
“ตามความเห็นส่วนตัวยังเชื่อว่าการแก้ปัญหาการชุมนุมทางเมืองคือ การเสนอร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมสาธารณะ ด้วยการกำหนดให้ผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะมีหนังสือแจ้งต่อพนักงานในท้องที่ทราบล่วงหน้า พร้อมแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ วิธีการ สถานที่ วันเวลา และระยะเวลาที่จะจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ รวมไปถึงจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยประมาณ และชื่อที่อยู่ของผู้จัดให้มีการชุมนุม ที่สำคัญการชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่ปิดล้อมสถานที่ราชการ และไม่ปล่อยให้มีการนำอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุมสาธารณะ”
ด้าน นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า แม้การชุมนุมของประชาชนในขณะนี้แม้ในภาพรวมจะเป็นไปในลักษณะดาวกระจายในหลายๆ พื้นที่ แต่ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ อย่างชัดเจนเพราะเป็นเพียงการชุมนุมเฉพาะช่วงเวลาเท่านั้น แต่หากการชุมนุมยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงผลประกอบการของภาคเอกชนต่างๆ ด้วย
“ก่อนหน้านี้บริษัทตั้งเป้าว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 จะสามารถทำยอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่สามารถขายสินค้าหลายๆ ประเภทได้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในลักษณะนี้ก็อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินงานตามเป้าหมายดังกล่าวได้ จึงทำให้ต้องมีการทบทวนกลยุทธ์ต่างๆ อีกครั้งเพื่อรับกับสถานการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้”
อนึ่ง ในปี 2556 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายโดยรวมประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 40% ธุรกิจผลิตภัณฑ์โฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ 35% ธุรกิจเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นด้านพลังงาน 15% และธุรกิจโทรศัพท์มือถือ 10%
นางวรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหารด้านการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า จากสถาณการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กับกรณีการชุมนุมคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรม ทางบริษัทไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองได้ แต่สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามไทยยังเป็นตลาดสำคัญของยูนิลีเวอร์
เนื่องจากยูนิลีเวอร์อยู่ในไทยมากว่า 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ประสบกับเหตุการณ์ทางการเมืองมาหลายครั้ง และทุกครั้งก็สามารถผ่านมาได้ตลอด ดังนั้นบริษัทยังคงมั่นใจที่ยังลงทุนดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่วางไว้ต่อไป โดยยังคงมั่นใจในศักยภาพระบบเศรษฐกิจพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
นายริทู โมฮาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บู๊ทส์ (รีเทล) ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า บู๊ทส์ยังเชื่อมั่นตลาดในไทย และมั่นใจในการดำเนินธุรกิจในไทยอยู่ และจะยังคงแผนการลงทุนระยะยาวไว้เช่นเดิม กับแผนการลงทุนใน2-3 ปีหลังจากนี้ จะลงทุนขยายสาขาเพิ่มปีละ 120-150 ล้านบาทสำหรับขยายสาขาใหม่เพิ่มปีละ 25-30 สาขาต่อปี เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 2-5 ล้านบาท
จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 235 สาขา ถึงสิ้นปีนี้จะเปิดให้ครบ 250สาขาทั่วประเทศ
นายอูเมช ฟัดเค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า สำหรับลอรีอัลยังมั่นใจตลาดในประเทศไทยเช่นกัน แม้ว่าในขณะนี้จะมีการชุมนุมประท้วงคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรมก็ตาม แต่มองว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเป็นระยะสั้นๆ ขณะที่ภาะเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง บวกกับตลาดบิวตี้ของไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่และสำคัญสุดในกลุ่มอาเซียน
และมีอัตราการเติบโตมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศอีก ซึ่งไทยยังเป็นประเทศที่มีการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญด้วย และเป็นตลาดสำคัญของลอรีอัลโดยในปีหน้าทางบริษัทยังพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง
“
นายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการค้าในย่านราชประสงค์มากนัก เพราะอยู่ต่างพื้นที่กันและคาดว่าคงจะไม่รุนแรง หรือยืดเยื้อเหมือนปี 2553 ซึ่งผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ได้รับความเสียหายถึง 1.12 หมื่นล้านบาท โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ พยายามดำเนินกิจกรรมและเคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมีการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
สำหรับภาวะการค้าในย่านราชประสงค์ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แม้ต้องประสบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่ค่อนข้างซบเซา แต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีและใกล้เคียงกับสถานการณ์ปรกติ ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายผู้บริโภคอาจมีกำลังซื้ออาจต่ำลงเนื่องจากเริ่มได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนมากขึ้นจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายรถยนต์คันแรกและค่าแรง 300 บาท สมาคมฯ จึงเตรียมแคมเปญใหญ่คือ “Happiness is All Around @ Ratchaprasong” ในระหว่างวันที่ 19 พ.ย.56 – 31 ม.ค.57 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางมาซื้อสินค้าและบริการมากถึงวันละ 3.51 แสนคน พร้อมสร้างรายได้สูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท
“การจัดแคมเปญดังกล่าวถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นทั้งในรูปแบบของการช้อปปิ้ง กิน ดื่ม เที่ยว และการสักการระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2557 เนื่องจากโครงการใหม่ๆ ในพื้นที่ราชประสงค์ไม่ต่ำกว่า 2-3 แห่งจะเริ่มเปิดให้บริการ ยิ่งถ้าหากภาครัฐมีการใช้จ่ายงบประมาณด้านต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงได้รับปัจจัยเสริมจากภาคการส่งออกและเกษตรกรรมโดยเฉพาะนโยบายเรื่องข้าวก็จะทำให้ผู้บริโภคคนไทยมีกำลังซื้อสูงขึ้น”
นายชาย กล่าวในตอนท้ายว่า ในความเป็นจริงแล้วการชุมนุมทางการเมืองไม่ถือเป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะถือเป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลในระบบประชาธิปไตย รัฐบาลไม่อาจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมประท้วง หรือเดินขบวนเรียกร้องของประชาชนที่ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ หากแต่การชุมนุมดังกล่าวนั้นจะต้องไม่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของกันและกัน แต่ปัญหาสำคัญที่มักเกิดขึ้นในการชุมนุมแต่ละครั้งคือวิธีการจัดการการชุมนุม รวมถึงการมีมือที่สามเข้ามาสอดแทรกจนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ จนไม่สามารถควบคุมได้
“ตามความเห็นส่วนตัวยังเชื่อว่าการแก้ปัญหาการชุมนุมทางเมืองคือ การเสนอร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเพื่ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยในการชุมนุมสาธารณะ ด้วยการกำหนดให้ผู้จัดให้มีการชุมนุมสาธารณะมีหนังสือแจ้งต่อพนักงานในท้องที่ทราบล่วงหน้า พร้อมแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ วิธีการ สถานที่ วันเวลา และระยะเวลาที่จะจัดให้มีการชุมนุมสาธารณะ รวมไปถึงจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยประมาณ และชื่อที่อยู่ของผู้จัดให้มีการชุมนุม ที่สำคัญการชุมนุมต้องไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่ปิดล้อมสถานที่ราชการ และไม่ปล่อยให้มีการนำอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุมสาธารณะ”
ด้าน นายอลงกรณ์ ชูจิตร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า แม้การชุมนุมของประชาชนในขณะนี้แม้ในภาพรวมจะเป็นไปในลักษณะดาวกระจายในหลายๆ พื้นที่ แต่ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ อย่างชัดเจนเพราะเป็นเพียงการชุมนุมเฉพาะช่วงเวลาเท่านั้น แต่หากการชุมนุมยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงผลประกอบการของภาคเอกชนต่างๆ ด้วย
“ก่อนหน้านี้บริษัทตั้งเป้าว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 จะสามารถทำยอดขายรวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่สามารถขายสินค้าหลายๆ ประเภทได้เพิ่มขึ้น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในลักษณะนี้ก็อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินงานตามเป้าหมายดังกล่าวได้ จึงทำให้ต้องมีการทบทวนกลยุทธ์ต่างๆ อีกครั้งเพื่อรับกับสถานการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นได้”
อนึ่ง ในปี 2556 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายโดยรวมประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน 40% ธุรกิจผลิตภัณฑ์โฮมเอนเตอร์เทนเม้นท์ 35% ธุรกิจเครื่องปรับอากาศและโซลูชั่นด้านพลังงาน 15% และธุรกิจโทรศัพท์มือถือ 10%
นางวรรณิภา ภักดีบุตร รองประธานกรรมการบริหารด้านการตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า จากสถาณการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กับกรณีการชุมนุมคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรม ทางบริษัทไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองได้ แต่สามารถกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามไทยยังเป็นตลาดสำคัญของยูนิลีเวอร์
เนื่องจากยูนิลีเวอร์อยู่ในไทยมากว่า 80 ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ประสบกับเหตุการณ์ทางการเมืองมาหลายครั้ง และทุกครั้งก็สามารถผ่านมาได้ตลอด ดังนั้นบริษัทยังคงมั่นใจที่ยังลงทุนดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวที่วางไว้ต่อไป โดยยังคงมั่นใจในศักยภาพระบบเศรษฐกิจพื้นฐานที่แข็งแกร่งของประเทศไทย
นายริทู โมฮาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท บู๊ทส์ (รีเทล) ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า บู๊ทส์ยังเชื่อมั่นตลาดในไทย และมั่นใจในการดำเนินธุรกิจในไทยอยู่ และจะยังคงแผนการลงทุนระยะยาวไว้เช่นเดิม กับแผนการลงทุนใน2-3 ปีหลังจากนี้ จะลงทุนขยายสาขาเพิ่มปีละ 120-150 ล้านบาทสำหรับขยายสาขาใหม่เพิ่มปีละ 25-30 สาขาต่อปี เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 2-5 ล้านบาท
จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 235 สาขา ถึงสิ้นปีนี้จะเปิดให้ครบ 250สาขาทั่วประเทศ
นายอูเมช ฟัดเค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า สำหรับลอรีอัลยังมั่นใจตลาดในประเทศไทยเช่นกัน แม้ว่าในขณะนี้จะมีการชุมนุมประท้วงคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรมก็ตาม แต่มองว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเป็นระยะสั้นๆ ขณะที่ภาะเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่ง บวกกับตลาดบิวตี้ของไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่และสำคัญสุดในกลุ่มอาเซียน
และมีอัตราการเติบโตมากกว่าค่าจีดีพีของประเทศอีก ซึ่งไทยยังเป็นประเทศที่มีการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญด้วย และเป็นตลาดสำคัญของลอรีอัลโดยในปีหน้าทางบริษัทยังพร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดต่อเนื่อง
“