**ยิ่งปลุกยิ่งขึ้น สำหรับมวลชนต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ ทะลุซอย ที่ดูเหมือนทางลมจะพัดมาเข้าทาง“กลุ่มต้าน”เพราะมวลชนตื่นตัวร่วมออกมาแสดงพลังกันอย่างคับคั่ง
ปรากฎการณ์ประชาชนตื่น เป็นแรงเหวี่ยง“ปลุก”ให้รัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาใช้ยุทธศาสตร์นิ่ง เพื่อสยบความเคลื่อนไหว ต้องตื่นขึ้นมาบ้างแล้ว
จากเดิมประเมินกันก่อนที่เดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่ามี กลุ่มต้านไม่เกิน 10,000 คน แต่มาวันนี้ ประชาชนออกมาหลายหมื่นคน แถมด้วยภาคประชาสังคม ที่ดาหน้าออกมาต่อสู้กับทรราช วันละหลายกลุ่ม
สร้างปรากฏการณ์ประชาชนออกมายึดถนน เพราะถูกรัฐบาลบีบบังคับ ซึ่งภาพที่ออกมาในแต่ละจุด ส่งผลให้รัฐบาลต้องประเมินกระดานการเคลื่อนไหวใหม่ทั้งหมด
**ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคง ส่งถึงมือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ประเมินม็อบต้านนิรโทษกรรม ทุกกลุ่มไว้เลวร้ายสุดที่จะมีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมถึงหลักสองแสนคน
ขึ้นอยู่ว่า“แกนนำ”ของแต่ละกลุ่มจะแพ็คเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน โดยสัญญาณที่ออกมาจากกลุ่มต้าน มีออกมาให้เห็นแล้วว่า สามารถแพ็คกันได้พอสมควร
เริ่มตั้งแต่ เวทีสามเสน ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากที่หลายฝ่ายมองว่างานนี้ "ค่ายสีฟ้า" จะโดนโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสามารถเชื่อมไปยังเวทีอื่นได้พอสมควรแล้ว
“สุเทพ เทือกสุบรรณ”นำลูกพรรคบางส่วน ใช้ยุทธศาสตร์เดินเข้าหาประชาชน ส่งสัญญาณน่ากลัว เพราะนอกจากจะมี “มวลชนจัดตั้ง”และแฟนคลับขาประจำอยู่เวทีสามเสนแล้ว การออกเดินสามารถปลุกมวลชนรายทางได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแวะแตะมือกับ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ที่แยกอุรุพงษ์
“ม็อบสามเสน”ที่เดินผ่านถนนพระรามที่ 6 ตัดเข้าเส้นหลานหลวง ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ราชดำเนิน เส้นทางดังกล่าวผ่านหน่วยงานราชการ สำคัญมากมาย น่าสนใจที่บรรดาข้าราชการออกมาให้กำลังใจกันเนืองแน่น
**แล้วสร้างเซอร์ไพรส์ ปักหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แบบที่ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ทางหนึ่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าก๊วนประชาธิปัตย์ ควงคู่กับลูกพรรค เดินฝ่าฝูงชนโผล่ไปร่วมเดินสายชุมนุมที่ถนนสีลม กับ“กลุ่มชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย”แบบไม่บอกไม่กล่าวกันมาก่อน พร้อมร่วมพิธีกรรม "เป่านกหวีดยาว" ส่งสีญญาณถึงคนที่คิดผลักดันกฎหมายอัปยศ
โดยมีกลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งนำโดย “ตุลย์ สิทธิสมวงศ์”แกนนำ เดินทางไปร่วมชุมนุมด้วย
ซึ่งสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายตามแนวถนนสีลม ไม่ขาดสาย ปลุกให้บรรดา “นักธุรกิจ”ตื่นตัวออกมาแอ๊คชั่นคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มากยิ่งขึ้นไปอีก
การเดินของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะยุทธศาสตร์ “ดาวกระจาย”ชวนประชาชนมาเข้าร่วมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สามารถโชว์ภาพว่า ทุกภาคส่วนเข้าร่วม โดยมีเป้าหมายเดียวกัน
อีกฟากหนึ่งจากการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน ที่ "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ" หรือ กปท. ขยับจากสวนลุมพินี มาร่วมหัวจมท้ายกับ คปท.ที่แยกอุรุพงษ์ โดยมีตัวชูโรงอย่สง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง - พิภพ ธงไชย”ที่เดินนำเข้าร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด ซึ่งมี “สุริยะใส กตะศิลา” ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน เป็นหัวเรือใหญ่
ก่อนที่ทั้งหมดจะเข้ามาแพ็คกับเวทีอุรุพงษ์ เพิ่มยอดมวลชนให้เยอะขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ดูทิศทางแล้วถนนทุกสายพุ่งเป้ามาร่วมชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อลดความชอบธรรมให้รัฐบาลออกกฎหมายล้างผิด “เหมาเข่ง” โดยเฉพาะในส่วนของ "คนกทม." ที่เริ่มตื่นตัวสลัดคราบ "ไทยเฉย" ออกมาคำรามใส่รัฐบาลอีกครั้ง
**"คนกรุงล้มรัฐบาล" วาทกรรม - ประวัติศาสตร์เก่าๆ ตามมาหลอนฝ่ายการเมืองอีกหน
ล่าสุด“สุเทพ”ประกาศกร้าว ตรึงมวลชนไว้ที่ถนนราชดำเนิน โดยมีการปิดถนนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยาวไปถึงแยกผ่านฟ้า ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความฮึกเหิม แกนนำ - ส.ส.ค่ายสีฟ้า สลับหมุนเวียนขึ้นปลุกเร้ามวลชนด้วยท่าทีแข็งกร้าว
แถมมี "วรรคทอง" จากถ้อยคำที่ "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ส.ส.เสรีชน ที่ประกาศเชิญชวน "คนเสื้อเหลือง" ให้ออกมาร่วมต่อสู้ อย่าเพียงใส่ เสื้อเหลือง แค่วันที่ 5 ธ.ค.เท่านั้น
ตีความตรงตัวได้ว่า "ค่ายสีฟ้า" พยายามส่งสัญญาณยกระดับการต่อสู้ ไม่เพียงต่อต้าน"กฎหมายโจร" เท่านั้น แต่ชี้ให้เห็นว่าศึกนี้เป็น "สงครามศักดิ์สิทธิ์" ที่คนไทยทั้งชาติต้องออกมาร่วมกันทำศึกปกป้อง"ชาติ - ราชบัลลังก์"
ขณะที่เวทีอุรุพงษ์ ก็ยังคงจับจองพื้นที่เดิมเอาไว้ โดยขยายพื้นที่ตามจำนวนมวลชนที่มากขึ้น ทำให้ต้องปิดถนนทั้งสองช่องทาง
ดูตามยุทธศาสตร์แล้ว ทั้ง 2 เวที ที่ตรึงกำลังไม่ห่างจากทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เมื่อประเมินตามยุทธศาสตร์การตั้งเวทีแล้ว ม็อบฝ่ายต้าน ยิ่งน่ากลัวเป็นทวีคูณ
เมื่อฝ่ายต้าน เริ่มเข้มแข็ง ส่งผลกระทบให้ รัฐบาลต้องวางแผนกันอย่างแยบยลมากที่สุด
**ชั่วโมงนี้ฟันธงได้เลยว่าอย่างไรเสีย “นช.แม้ว”ต้องสั่ง ลิ่วล้อลุยต่อแน่นอน เพราะคนอย่าง “นช.แม้ว”หากไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ไม่ยอมถอยจนนาทีสุดท้าย
**แรงปราถนาอยาก “กลับบ้าน - เอาเงินคืน”มันช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน
เมื่อรัฐบาลพร้อมเปิดหน้าชนกับม็อบต้าน ก็เหลือแค่ว่า เหตุการณ์จะวุ่นวายมากน้อยขนาดไหน จะเกิดความสูญเสียแค่ไหน “รัฐบาล-นช.แม้ว” ถึงจะยอม “ยกธงขาว”
**ทางรอดหนึ่งที่เบาที่สุดในสถานการณ์นี้ของรัฐบาล คือ ยุบสภา
เพราะตอนนี้แม้กระทั่ง "สายเหยี่ยว" ในพรรคเพื่อไทย ประเมินกันแล้วว่า ถ้าสถานการณ์ไปไม่รอดจริงๆ ยอมทิ้งไพ่ ยุบสภา ถือว่าเป็นทางรอดที่ดีที่สุด
หนึ่งลดการสูญเสีย เพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้าม นำไปอ้างยกระดับการชุมนุม หรือหวังผลทางการเมืองในอนาคต
หนึ่งประเมินจากฐานเสียง ที่ดูแล้วทั้งประเทศ “เพื่อไทย”ยังมีความเข้มแข็งกว่า“ปชป. - ภูมิใจไทย”หากยอมเหนื่อย “ล้างไพ่”เลือกตั้งกันใหม่
โอกาสที่ เพื่อไทย จะได้เข้ามาครองอำนาจใน “ทำเนียบรัฐบาล”อีกรอบก็ยังมีสูง
เมื่อกลุ่มต้าน รวม “มวลชน”พร้อมท้าชน “รัฐบาล”และเมื่อ "รัฐบาล-นช.แม้ว" พร้อมเปิดหน้าแลก เพราะพร้อมยอมยุบสภา สถานการณ์หลังจากนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน
**เป็นการเผชิญหน้าที่มี “ชีวิต”เป็นเดิมพัน ซึ่งหมายถึงชีวิตของประชาชนที่ยอมออกมาต่อสู้ในเกมแย่งชิง “อำนาจ”ไม่มีใครรู้ว่าจะสูญเสียกันสักเท่าไร
**แต่ดูเหมือน“เมืองไทย”ยังมีโอกาสต้องห้ำหั่นกันเองอีกหลายยกเป็นแน่
ปรากฎการณ์ประชาชนตื่น เป็นแรงเหวี่ยง“ปลุก”ให้รัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาใช้ยุทธศาสตร์นิ่ง เพื่อสยบความเคลื่อนไหว ต้องตื่นขึ้นมาบ้างแล้ว
จากเดิมประเมินกันก่อนที่เดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่ามี กลุ่มต้านไม่เกิน 10,000 คน แต่มาวันนี้ ประชาชนออกมาหลายหมื่นคน แถมด้วยภาคประชาสังคม ที่ดาหน้าออกมาต่อสู้กับทรราช วันละหลายกลุ่ม
สร้างปรากฏการณ์ประชาชนออกมายึดถนน เพราะถูกรัฐบาลบีบบังคับ ซึ่งภาพที่ออกมาในแต่ละจุด ส่งผลให้รัฐบาลต้องประเมินกระดานการเคลื่อนไหวใหม่ทั้งหมด
**ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคง ส่งถึงมือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ประเมินม็อบต้านนิรโทษกรรม ทุกกลุ่มไว้เลวร้ายสุดที่จะมีประชาชนเข้าร่วมชุมนุมถึงหลักสองแสนคน
ขึ้นอยู่ว่า“แกนนำ”ของแต่ละกลุ่มจะแพ็คเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน โดยสัญญาณที่ออกมาจากกลุ่มต้าน มีออกมาให้เห็นแล้วว่า สามารถแพ็คกันได้พอสมควร
เริ่มตั้งแต่ เวทีสามเสน ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จากที่หลายฝ่ายมองว่างานนี้ "ค่ายสีฟ้า" จะโดนโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสามารถเชื่อมไปยังเวทีอื่นได้พอสมควรแล้ว
“สุเทพ เทือกสุบรรณ”นำลูกพรรคบางส่วน ใช้ยุทธศาสตร์เดินเข้าหาประชาชน ส่งสัญญาณน่ากลัว เพราะนอกจากจะมี “มวลชนจัดตั้ง”และแฟนคลับขาประจำอยู่เวทีสามเสนแล้ว การออกเดินสามารถปลุกมวลชนรายทางได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแวะแตะมือกับ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ที่แยกอุรุพงษ์
“ม็อบสามเสน”ที่เดินผ่านถนนพระรามที่ 6 ตัดเข้าเส้นหลานหลวง ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ราชดำเนิน เส้นทางดังกล่าวผ่านหน่วยงานราชการ สำคัญมากมาย น่าสนใจที่บรรดาข้าราชการออกมาให้กำลังใจกันเนืองแน่น
**แล้วสร้างเซอร์ไพรส์ ปักหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แบบที่ฝ่ายความมั่นคงถึงรู้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ทางหนึ่ง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”หัวหน้าก๊วนประชาธิปัตย์ ควงคู่กับลูกพรรค เดินฝ่าฝูงชนโผล่ไปร่วมเดินสายชุมนุมที่ถนนสีลม กับ“กลุ่มชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย”แบบไม่บอกไม่กล่าวกันมาก่อน พร้อมร่วมพิธีกรรม "เป่านกหวีดยาว" ส่งสีญญาณถึงคนที่คิดผลักดันกฎหมายอัปยศ
โดยมีกลุ่มคนเสื้อหลากสี ซึ่งนำโดย “ตุลย์ สิทธิสมวงศ์”แกนนำ เดินทางไปร่วมชุมนุมด้วย
ซึ่งสามารถเรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาพ่อค้าแม่ขายตามแนวถนนสีลม ไม่ขาดสาย ปลุกให้บรรดา “นักธุรกิจ”ตื่นตัวออกมาแอ๊คชั่นคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มากยิ่งขึ้นไปอีก
การเดินของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะยุทธศาสตร์ “ดาวกระจาย”ชวนประชาชนมาเข้าร่วมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สามารถโชว์ภาพว่า ทุกภาคส่วนเข้าร่วม โดยมีเป้าหมายเดียวกัน
อีกฟากหนึ่งจากการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน ที่ "กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ" หรือ กปท. ขยับจากสวนลุมพินี มาร่วมหัวจมท้ายกับ คปท.ที่แยกอุรุพงษ์ โดยมีตัวชูโรงอย่สง “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง - พิภพ ธงไชย”ที่เดินนำเข้าร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด ซึ่งมี “สุริยะใส กตะศิลา” ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน เป็นหัวเรือใหญ่
ก่อนที่ทั้งหมดจะเข้ามาแพ็คกับเวทีอุรุพงษ์ เพิ่มยอดมวลชนให้เยอะขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ดูทิศทางแล้วถนนทุกสายพุ่งเป้ามาร่วมชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อลดความชอบธรรมให้รัฐบาลออกกฎหมายล้างผิด “เหมาเข่ง” โดยเฉพาะในส่วนของ "คนกทม." ที่เริ่มตื่นตัวสลัดคราบ "ไทยเฉย" ออกมาคำรามใส่รัฐบาลอีกครั้ง
**"คนกรุงล้มรัฐบาล" วาทกรรม - ประวัติศาสตร์เก่าๆ ตามมาหลอนฝ่ายการเมืองอีกหน
ล่าสุด“สุเทพ”ประกาศกร้าว ตรึงมวลชนไว้ที่ถนนราชดำเนิน โดยมีการปิดถนนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ยาวไปถึงแยกผ่านฟ้า ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความฮึกเหิม แกนนำ - ส.ส.ค่ายสีฟ้า สลับหมุนเวียนขึ้นปลุกเร้ามวลชนด้วยท่าทีแข็งกร้าว
แถมมี "วรรคทอง" จากถ้อยคำที่ "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ส.ส.เสรีชน ที่ประกาศเชิญชวน "คนเสื้อเหลือง" ให้ออกมาร่วมต่อสู้ อย่าเพียงใส่ เสื้อเหลือง แค่วันที่ 5 ธ.ค.เท่านั้น
ตีความตรงตัวได้ว่า "ค่ายสีฟ้า" พยายามส่งสัญญาณยกระดับการต่อสู้ ไม่เพียงต่อต้าน"กฎหมายโจร" เท่านั้น แต่ชี้ให้เห็นว่าศึกนี้เป็น "สงครามศักดิ์สิทธิ์" ที่คนไทยทั้งชาติต้องออกมาร่วมกันทำศึกปกป้อง"ชาติ - ราชบัลลังก์"
ขณะที่เวทีอุรุพงษ์ ก็ยังคงจับจองพื้นที่เดิมเอาไว้ โดยขยายพื้นที่ตามจำนวนมวลชนที่มากขึ้น ทำให้ต้องปิดถนนทั้งสองช่องทาง
ดูตามยุทธศาสตร์แล้ว ทั้ง 2 เวที ที่ตรึงกำลังไม่ห่างจากทำเนียบรัฐบาล-รัฐสภา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของรัฐบาล เมื่อประเมินตามยุทธศาสตร์การตั้งเวทีแล้ว ม็อบฝ่ายต้าน ยิ่งน่ากลัวเป็นทวีคูณ
เมื่อฝ่ายต้าน เริ่มเข้มแข็ง ส่งผลกระทบให้ รัฐบาลต้องวางแผนกันอย่างแยบยลมากที่สุด
**ชั่วโมงนี้ฟันธงได้เลยว่าอย่างไรเสีย “นช.แม้ว”ต้องสั่ง ลิ่วล้อลุยต่อแน่นอน เพราะคนอย่าง “นช.แม้ว”หากไม่มีคนบาดเจ็บล้มตาย ไม่ยอมถอยจนนาทีสุดท้าย
**แรงปราถนาอยาก “กลับบ้าน - เอาเงินคืน”มันช่างแรงกล้าเสียเหลือเกิน
เมื่อรัฐบาลพร้อมเปิดหน้าชนกับม็อบต้าน ก็เหลือแค่ว่า เหตุการณ์จะวุ่นวายมากน้อยขนาดไหน จะเกิดความสูญเสียแค่ไหน “รัฐบาล-นช.แม้ว” ถึงจะยอม “ยกธงขาว”
**ทางรอดหนึ่งที่เบาที่สุดในสถานการณ์นี้ของรัฐบาล คือ ยุบสภา
เพราะตอนนี้แม้กระทั่ง "สายเหยี่ยว" ในพรรคเพื่อไทย ประเมินกันแล้วว่า ถ้าสถานการณ์ไปไม่รอดจริงๆ ยอมทิ้งไพ่ ยุบสภา ถือว่าเป็นทางรอดที่ดีที่สุด
หนึ่งลดการสูญเสีย เพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้าม นำไปอ้างยกระดับการชุมนุม หรือหวังผลทางการเมืองในอนาคต
หนึ่งประเมินจากฐานเสียง ที่ดูแล้วทั้งประเทศ “เพื่อไทย”ยังมีความเข้มแข็งกว่า“ปชป. - ภูมิใจไทย”หากยอมเหนื่อย “ล้างไพ่”เลือกตั้งกันใหม่
โอกาสที่ เพื่อไทย จะได้เข้ามาครองอำนาจใน “ทำเนียบรัฐบาล”อีกรอบก็ยังมีสูง
เมื่อกลุ่มต้าน รวม “มวลชน”พร้อมท้าชน “รัฐบาล”และเมื่อ "รัฐบาล-นช.แม้ว" พร้อมเปิดหน้าแลก เพราะพร้อมยอมยุบสภา สถานการณ์หลังจากนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะเผชิญหน้ากัน
**เป็นการเผชิญหน้าที่มี “ชีวิต”เป็นเดิมพัน ซึ่งหมายถึงชีวิตของประชาชนที่ยอมออกมาต่อสู้ในเกมแย่งชิง “อำนาจ”ไม่มีใครรู้ว่าจะสูญเสียกันสักเท่าไร
**แต่ดูเหมือน“เมืองไทย”ยังมีโอกาสต้องห้ำหั่นกันเองอีกหลายยกเป็นแน่