การที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระที่ 3 ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมานั้น เท่ากับพวกเขาเหยียบย่ำหัวใจคนไทยที่รักชาติ รักบ้านรักเมือง เท่ากับพวกเขาไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา หลังจากที่พวกเขาทำเช่นนี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ประกาศตัวเพียง 40/50 วันก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองไม่เป็นสับปะรดก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ เพราะมีสื่อคอยเชียร์คอยสนับสนุน มีกองกำลังเสื้อแดงคอยปกป้องเอาเงินงบประมาณของชาติไปปูนบำเหน็จให้กับคนที่ขายชีวิตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2552-2553 โดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ และไม่เป็นธรรมกับตำรวจ ทหารที่เสียสละชีวิตที่ชายแดน ประชาชนก็เฉย จำนำข้าวสร้างความฉิบหายให้กับประเทศปีละ 2 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย ประชาชนก็ยังไม่มีความรู้สึก
ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์และบรรดาขี้ข้าม้าใช้รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเกิดความย่ามใจเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมบ้าง ปรองดองบ้าง พร้อมๆ ไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ไม่เป็นไร เพราะไม่เห็นประชาชนมีปฏิกิริยาใดๆ
การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น ครั้งแรกๆ ให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นายทหารที่เคยยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้เสนอ นั่นเท่ากับพวกเขาสามารถตบหน้าคณะนายทหารที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เท่ากับเขาสามารถทำให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก้มลงเลียเสมหะที่พล.อ.สนธิเคยพ่นออกมา
ซึ่งพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็พร้อมยอมทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ ยิ่งทำให้พวกเขาเหิมเกริมหนักขึ้น
การผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระที่ 3 โดยการพิจารณารวดเดียวหลังจากผ่านกรรมาธิการ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีประชาชนลุกขึ้นมาคัดค้านพวกเขาอยู่แล้วที่สวนลุมพินี และที่อุรุพงษ์
“คนเหล่านี้ไม่มีทุนรอน ไม่มีมวลชนสนับสนุน” พวกเขาคิดเช่นนี้
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในขั้นกรรมาธิการจึงได้พลิกโฉมจากร่างเดิมที่นิรโทษกรรมให้กับประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ไม่มีความผิดอาญา ไม่ได้เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แก้ไขเป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประโยชน์เต็มๆ นอกจากนั้นคดีรถเรือดับเพลิงซึ่งศาลเพิ่งตัดสินก็รอดไปด้วย เพราะคดีดังกล่าว คตส.เป็นผู้สอบสวนตั้งแต่แรก
พวกเขาประเมินว่า ประชาชนก็คงจะอยู่นิ่งและเฉยต่อไปเหมือนทุกครั้งที่เคยเฉย ทั้งที่ถูกเหยียบถูกย่ำอย่างไร
จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็เคยดูแคลนประชาชนเช่นนี้ เมื่อเริ่มมีการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษาที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้กระทั่งเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม 2516 เมื่อขบวนนักศึกษาเคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สู่ถนนราชดำเนิน
ทรราชมักจะเป็นเช่นนี้ ไม่เห็นพลังของประชาชนอยู่ในสายตา เนื่องจากพวกเขาอยู่แวดล้อมด้วยการประจบสอพลอหรือข่าวสารที่ผิดๆ เป็นต้น ฟรีทีวีช่อง 3 ช่อง 9 ช่อง 5 ช่อง 7 ไม่เสนอข่าวหรือเสนอก็เพียงไม่กี่วินาที วิทยุหลายร้อยสถานีไม่เคยพูดถึง หนังสือพิมพ์หลายฉบับมองเป็นม็อบกระจอกจุดไม่ติด ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ประชาชนเข้าร่วม
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นมาเจอเข้ากับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพลงไม่ฟัง หนังไม่ดู หนังสือไม่อ่าน ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ประชาชนที่สวนลุมพินี อุรุพงษ์ สามเสน สีลม และจังหวัดต่างๆ ลุกขึ้นแล้ว เป็นประกายไฟไหม้ลามทุ่ง เป็นดอกไม้ที่ผลิบานทีละดอก
ท่าทางจะอยู่ยากแล้วละครับตอนนี้ สภาฯ จะถอนร่างกฎหมายเฮงซวยนี้ไปก็ยากที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะอยู่ได้ ประชาชนมาไกลเกินกว่าจะกลับแล้ว สิ่งที่ประชาชนจะทำต่อไปก็คือ สร้างประเทศไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่สักแต่เพียงเลือกตั้งแล้วก็ได้บรรดาขี้ข้าม้าใช้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาอีก
มีกระแสว่า รัฐบาลกำลังหาทางออกด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นี่ไม่ใช่ทางออกของประเทศ นี่เท่ากับเก็บสิ่งปฏิกูลทั้งหลายซุกไว้ใต้พรมกลิ่นเหม็นคลุ้งก็ยังคงอยู่ เลือกตั้งใหม่ไอ้บ้าที่สุรินทร์ก็อาจจะกลับมาอีก นางคนที่ถามว่าใครยิงพ่อมัน แต่มันก็สนับสนุนนิรโทษฯ โดยไม่สนใจว่า ใครทำให้พ่อมันตายก็อาจจะถูกใส่ชื่อให้เป็น ส.ส.อีก
มันต้องกวาดบ้านให้สะอาดครับ พ่อแม่พี่น้อง มิใช่เพียงให้มันหยุดร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือเลือกตั้งใหม่ เพราะเลือกตั้งใหม่อาจจะได้นางสาวยิ่งลักษณ์หรือไอ้โง่คนนี้อีกก็ได้ พร้อมที่จะเป็นขี้ข้าพ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาก่อเวรกรรมกับประเทศชาติของเราอีก
หรือพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชาขอแจมอีก
เราจะปล่อยประเทศชาติให้เดินไปตามหนทางเดิมๆ อีกต่อไปไม่ได้แล้วครับ พี่น้อง
ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ประกาศตัวเพียง 40/50 วันก็ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองไม่เป็นสับปะรดก็ยังเป็นที่ยอมรับได้ เพราะมีสื่อคอยเชียร์คอยสนับสนุน มีกองกำลังเสื้อแดงคอยปกป้องเอาเงินงบประมาณของชาติไปปูนบำเหน็จให้กับคนที่ขายชีวิตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2552-2553 โดยที่ไม่มีกฎหมายรองรับ และไม่เป็นธรรมกับตำรวจ ทหารที่เสียสละชีวิตที่ชายแดน ประชาชนก็เฉย จำนำข้าวสร้างความฉิบหายให้กับประเทศปีละ 2 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย ประชาชนก็ยังไม่มีความรู้สึก
ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์และบรรดาขี้ข้าม้าใช้รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเกิดความย่ามใจเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมบ้าง ปรองดองบ้าง พร้อมๆ ไปกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญพวกเขาก็ยังเชื่อว่า ไม่เป็นไร เพราะไม่เห็นประชาชนมีปฏิกิริยาใดๆ
การเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้น ครั้งแรกๆ ให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นายทหารที่เคยยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้เสนอ นั่นเท่ากับพวกเขาสามารถตบหน้าคณะนายทหารที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เท่ากับเขาสามารถทำให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก้มลงเลียเสมหะที่พล.อ.สนธิเคยพ่นออกมา
ซึ่งพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็พร้อมยอมทำด้วยความเต็มอกเต็มใจ ยิ่งทำให้พวกเขาเหิมเกริมหนักขึ้น
การผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระที่ 3 โดยการพิจารณารวดเดียวหลังจากผ่านกรรมาธิการ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีประชาชนลุกขึ้นมาคัดค้านพวกเขาอยู่แล้วที่สวนลุมพินี และที่อุรุพงษ์
“คนเหล่านี้ไม่มีทุนรอน ไม่มีมวลชนสนับสนุน” พวกเขาคิดเช่นนี้
การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในขั้นกรรมาธิการจึงได้พลิกโฉมจากร่างเดิมที่นิรโทษกรรมให้กับประชาชนทั่วไปที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ไม่มีความผิดอาญา ไม่ได้เป็นคนเผาบ้านเผาเมือง แก้ไขเป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ประโยชน์เต็มๆ นอกจากนั้นคดีรถเรือดับเพลิงซึ่งศาลเพิ่งตัดสินก็รอดไปด้วย เพราะคดีดังกล่าว คตส.เป็นผู้สอบสวนตั้งแต่แรก
พวกเขาประเมินว่า ประชาชนก็คงจะอยู่นิ่งและเฉยต่อไปเหมือนทุกครั้งที่เคยเฉย ทั้งที่ถูกเหยียบถูกย่ำอย่างไร
จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็เคยดูแคลนประชาชนเช่นนี้ เมื่อเริ่มมีการชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษาที่สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แม้กระทั่งเที่ยงวันที่ 13 ตุลาคม 2516 เมื่อขบวนนักศึกษาเคลื่อนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สู่ถนนราชดำเนิน
ทรราชมักจะเป็นเช่นนี้ ไม่เห็นพลังของประชาชนอยู่ในสายตา เนื่องจากพวกเขาอยู่แวดล้อมด้วยการประจบสอพลอหรือข่าวสารที่ผิดๆ เป็นต้น ฟรีทีวีช่อง 3 ช่อง 9 ช่อง 5 ช่อง 7 ไม่เสนอข่าวหรือเสนอก็เพียงไม่กี่วินาที วิทยุหลายร้อยสถานีไม่เคยพูดถึง หนังสือพิมพ์หลายฉบับมองเป็นม็อบกระจอกจุดไม่ติด ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ประชาชนเข้าร่วม
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นมาเจอเข้ากับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพลงไม่ฟัง หนังไม่ดู หนังสือไม่อ่าน ก็ยิ่งไปกันใหญ่
ประชาชนที่สวนลุมพินี อุรุพงษ์ สามเสน สีลม และจังหวัดต่างๆ ลุกขึ้นแล้ว เป็นประกายไฟไหม้ลามทุ่ง เป็นดอกไม้ที่ผลิบานทีละดอก
ท่าทางจะอยู่ยากแล้วละครับตอนนี้ สภาฯ จะถอนร่างกฎหมายเฮงซวยนี้ไปก็ยากที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะอยู่ได้ ประชาชนมาไกลเกินกว่าจะกลับแล้ว สิ่งที่ประชาชนจะทำต่อไปก็คือ สร้างประเทศไทยใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่สักแต่เพียงเลือกตั้งแล้วก็ได้บรรดาขี้ข้าม้าใช้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมาอีก
มีกระแสว่า รัฐบาลกำลังหาทางออกด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
นี่ไม่ใช่ทางออกของประเทศ นี่เท่ากับเก็บสิ่งปฏิกูลทั้งหลายซุกไว้ใต้พรมกลิ่นเหม็นคลุ้งก็ยังคงอยู่ เลือกตั้งใหม่ไอ้บ้าที่สุรินทร์ก็อาจจะกลับมาอีก นางคนที่ถามว่าใครยิงพ่อมัน แต่มันก็สนับสนุนนิรโทษฯ โดยไม่สนใจว่า ใครทำให้พ่อมันตายก็อาจจะถูกใส่ชื่อให้เป็น ส.ส.อีก
มันต้องกวาดบ้านให้สะอาดครับ พ่อแม่พี่น้อง มิใช่เพียงให้มันหยุดร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือเลือกตั้งใหม่ เพราะเลือกตั้งใหม่อาจจะได้นางสาวยิ่งลักษณ์หรือไอ้โง่คนนี้อีกก็ได้ พร้อมที่จะเป็นขี้ข้าพ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาก่อเวรกรรมกับประเทศชาติของเราอีก
หรือพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทย โดยมีพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชาขอแจมอีก
เราจะปล่อยประเทศชาติให้เดินไปตามหนทางเดิมๆ อีกต่อไปไม่ได้แล้วครับ พี่น้อง