ASTVผู้จัดการรายวัน- เอกชนประเมินส่งออกปี 2556 ขยายตัวไม่เกิน 1.3% ขณะที่แนวโน้มคำสั่งซื้อล่วงหน้าแผ่วต่อเนื่องคาดแนวโน้มจะซึมยาวถึงเม.ย. 57 ขณะที่การบริโภคโตเพียง 2.6% นักวิชาการประเมินส่งออกไตรมาส 4 ฟื้นแต่ทั้งปีไม่มีทางถึง 4% ตามเป้าพาณิชย์ คาด ส่วนปี 57 ดีขึ้น หลังสหรัฐฯ ยุโรปเริ่มฟื้น
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของการส่งออกไทยทั้งปี 2556 มีความเป็นไปได้มากที่โตไม่เกิน 1.3%หรือต่ำสุดรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 หลังจากที่ 9 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 0.05% เนื่องจากปกติยอดคำสั่งซื้อในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.) จะเป็นช่วงต่ำสุด เพราะต่างประเทศจะเริ่มหยุดเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสมาสต์
ขณะที่สัญญาณคำสั่งซื้อล่วงหน้าปี 2557 ที่ปกติจะเริ่มมีเข้ามาบ้างก็ยังคงต่ำมากจึงคาดว่าการส่งออกจะซึมยาวไปถึงเม.ย. 2557 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไร้แนวทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป(อียู)
“วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่าการส่งออกของไทยโต 4%ยากมาก อย่างเก่งสุดโตที่ 1.3-1.5%แต่โอกาสไม่เกิน 1.3%จะมีสูงกว่าเพราะการส่งออก 2 เดือนสุดท้ายปกติทุกปีจะต่ำอยู่แล้ว และจากการสอบถามหลายธุรกิจที่ปกติช่วงสิ้นปีจะมีการเจรจาคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาบ้างในอดีตตอนนี้น้อยมาก อย่างล่าสุด แม้แต่กลุ่มอาหารที่ไปออกงานแฟร์ที่เยอรมัน ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ระดับโลกก็รับออเดอร์มาน้อยมาก”นายธนิตกล่าว
ทั้งนี้หากพิจารณาการส่งออกก.ย. 56 ที่ติดลบ 7% นั้นเริ่มมีการติดลบในส่วนของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น จากเดิมจะติดลบมากเฉพาะส่วนของอุตสาหกรรมเกษตร และเกษตรแปรรูป เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมจะเกี่ยวเนื่องกับเกษตรแปรรูปไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ สารปรุงแต่ง ฯลฯ และหากพิจารณาการนำเข้าสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตก็โตเพียง 2%
ซึ่งถือว่าต่ำมากจึงสะท้อนมายังกำลังการผลิตเฉลี่ยก.ย.อยู่ที่ 63.5% เท่านั้น จึงทำให้ขณะนี้โรงงานต่างๆ แทบจะไม่มีการทำงานล่วงเวลาหรือโอทีแต่อย่างใด ทำให้รายได้ของแรงงานเหล่านี้ลดต่ำไปด้วย และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจึงทำให้การบริโภคเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 2.5-2.6% ขณะที่ปีที่แล้วโตถึง 6.5%
ด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การส่งออกในไตรมาส 4 ปี 2556 เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่าจะขยายตัวได้ 5.12% มูลค่า 60,108 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคาดว่าจะส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังเป็นอัตราขยายตัวต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2555 ที่โต 18.48% ทำให้การส่งออกทั้งปี 2556 จะขยายตัวได้เพียง 1.31% มูลค่า 2.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2553 และโอกาสที่การส่งออกจะโต 3-4% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ประเมินไว้คงยาก เพราะการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนต้องขยายตัว 15% และมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับปี 2557 คาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยจะขยายตัวช่วง 4-7.9% แต่มีโอกาสขยายตัวที่ 5.48% มากที่สุด มีมูลค่า 2.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของตลาดสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และอาเซียน และสินค้าอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออก 80% ของการส่งออกรวมจะเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เกษตรแปรรูป เป็นต้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกปีหน้า คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นและจีนยังไม่ดีนัก ทำให้การบริโภคและนำเข้าสินค้าชะลอตัว ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง แต่ราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง อัตราแลกเปลี่ยนยังมีความผันผวน ซึ่งหากเฟดลดคิวอีในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 จะผลให้เงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่าช่วง 30-89-31.22 บาท/เหรียญสหรัฐ
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของการส่งออกไทยทั้งปี 2556 มีความเป็นไปได้มากที่โตไม่เกิน 1.3%หรือต่ำสุดรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ปี 2552 หลังจากที่ 9 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 0.05% เนื่องจากปกติยอดคำสั่งซื้อในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.) จะเป็นช่วงต่ำสุด เพราะต่างประเทศจะเริ่มหยุดเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสมาสต์
ขณะที่สัญญาณคำสั่งซื้อล่วงหน้าปี 2557 ที่ปกติจะเริ่มมีเข้ามาบ้างก็ยังคงต่ำมากจึงคาดว่าการส่งออกจะซึมยาวไปถึงเม.ย. 2557 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไร้แนวทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป(อียู)
“วันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่าการส่งออกของไทยโต 4%ยากมาก อย่างเก่งสุดโตที่ 1.3-1.5%แต่โอกาสไม่เกิน 1.3%จะมีสูงกว่าเพราะการส่งออก 2 เดือนสุดท้ายปกติทุกปีจะต่ำอยู่แล้ว และจากการสอบถามหลายธุรกิจที่ปกติช่วงสิ้นปีจะมีการเจรจาคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาบ้างในอดีตตอนนี้น้อยมาก อย่างล่าสุด แม้แต่กลุ่มอาหารที่ไปออกงานแฟร์ที่เยอรมัน ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ระดับโลกก็รับออเดอร์มาน้อยมาก”นายธนิตกล่าว
ทั้งนี้หากพิจารณาการส่งออกก.ย. 56 ที่ติดลบ 7% นั้นเริ่มมีการติดลบในส่วนของภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น จากเดิมจะติดลบมากเฉพาะส่วนของอุตสาหกรรมเกษตร และเกษตรแปรรูป เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมจะเกี่ยวเนื่องกับเกษตรแปรรูปไม่ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์ สารปรุงแต่ง ฯลฯ และหากพิจารณาการนำเข้าสินค้าเพื่อเป็นวัตถุดิบในการผลิตก็โตเพียง 2%
ซึ่งถือว่าต่ำมากจึงสะท้อนมายังกำลังการผลิตเฉลี่ยก.ย.อยู่ที่ 63.5% เท่านั้น จึงทำให้ขณะนี้โรงงานต่างๆ แทบจะไม่มีการทำงานล่วงเวลาหรือโอทีแต่อย่างใด ทำให้รายได้ของแรงงานเหล่านี้ลดต่ำไปด้วย และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจึงทำให้การบริโภคเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะโตเพียง 2.5-2.6% ขณะที่ปีที่แล้วโตถึง 6.5%
ด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การส่งออกในไตรมาส 4 ปี 2556 เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น คาดว่าจะขยายตัวได้ 5.12% มูลค่า 60,108 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคาดว่าจะส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังเป็นอัตราขยายตัวต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2555 ที่โต 18.48% ทำให้การส่งออกทั้งปี 2556 จะขยายตัวได้เพียง 1.31% มูลค่า 2.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดในรอบ 4 ปี นับจากปี 2553 และโอกาสที่การส่งออกจะโต 3-4% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ประเมินไว้คงยาก เพราะการส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนต้องขยายตัว 15% และมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับปี 2557 คาดว่าการส่งออกจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยจะขยายตัวช่วง 4-7.9% แต่มีโอกาสขยายตัวที่ 5.48% มากที่สุด มีมูลค่า 2.45 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยปัจจัยบวกมาจากการฟื้นตัวของตลาดสำคัญ ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และอาเซียน และสินค้าอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออก 80% ของการส่งออกรวมจะเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน เกษตรแปรรูป เป็นต้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อการส่งออกปีหน้า คือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นและจีนยังไม่ดีนัก ทำให้การบริโภคและนำเข้าสินค้าชะลอตัว ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง แต่ราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง อัตราแลกเปลี่ยนยังมีความผันผวน ซึ่งหากเฟดลดคิวอีในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 จะผลให้เงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่าช่วง 30-89-31.22 บาท/เหรียญสหรัฐ
