เห็นฝ่ายรัฐบาลยังพยายามผลักดัน “พ.ร.บ. นิรโทษกรรม” เพื่อนำไปสู่การนิรโทษ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และอาจถึงขั้นจะคืนเงินโกงชาติ ซึ่งได้รับการพิพากษา 4.6 หมื่นล้านบาท ! กำลังจะเป็นสิ่งเลวร้าย ต่อด้วยสิ่งเลวร้ายไม่สิ้นสุด ที่ครอบครัวชินวัตร กระทำต่อแผ่นดินแม่อีกจริงๆ หรือ ??
สิ่งเลวร้ายแรกที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทำ คือ “การเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540” ประชาชนจะได้ร่วมกันต่อสู้อย่างเหนื่อยยาก จนได้รับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี ซึ่งห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้น และ มี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ห้ามรัฐมนตรีเป็นเจ้าของกิจการสัมปทานผูกขาด เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเข้าสู่อำนาจ กลับกระทำการผิดรัฐธรรมนูญ ด้วยการนำหุ้นกิจการสัมปทานผูกขาดไป “ซุกหุ้น” กับคนที่ใกล้ชิดเป็นโนมินีตัวแทนถือหุ้น ทั้ง นาย พานทองแท้ ชินวัตร น.ส. พินทองทา ชินวัตร นาย บรรณพจน์ ดามาพงษ์ และ จนถึง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้หลังจากเป็นโนมินีตัวแทนถือหุ้นแล้ว ก็มาเป็นโนมินีตัวแทนถืออำนาจนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน
สิ่งเลวร้ายประการที่ 2 ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทำ คือ การออกไปพูดกับชาวโลกว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” “ประเทศไทยขาดความยุติธรรม” และ สร้างกลุ่มคนสนับสนุนตัว โดยการใส่ร้ายว่า กระบวนการยุติธรรมไทย กลายเป็น กระบวนการยุติความเป็นธรรม และ สร้างความแตกแยกด้วยการสร้างนิยาย “อำมาตย์-ไพร่” นำฝูงชนเข้ามาเผาบ้านเผาเมือง ข่มขู่ที่จะสร้างสงครามกลางเมือง โดยเอาชีวิตคนไทยด้วยกันเป็นตัวประกัน ! เพื่อนำไปสู่การครอบครองอำนาจโดย น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ตัวแทน
และนี่ จะเป็นสิ่งเลวร้ายประการที่ 3 ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมทำ คือ การออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม เพื่อล้างผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรพี่ชาย และอาจถึงขั้นหวังคืนเงินโกงชาติ ที่ได้พิพากษายึดทรัพย์ไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท กลับคืน
การจะสร้างความถูกต้องด้วยการใช้ “กำลัง” แทนที่จะใช้ “หลักฐาน” มาล้มล้าง เป็นการทำผิดกฎหมาย แบบ ผิดแล้วผิดเล่า เป็นบาปกรรมต่อแผ่นดินแม่ ถ้าแม้พี่ชายทำบาปไปแล้ว ควรหรือที่น้องสาวจะต้องทำบาปกรรมต่อแผ่นดินแม่อีกด้วย ???
ถ้า นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอยากปกป้องครอบครัวชินวัตร อย่าใช้วิธีใช้ “อำนาจ” หรือ “มวลชน” เพื่อหลีกเลี่ยงคดีความ แต่ตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆหลักฐานตรงๆ จะดีกว่า
1. น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แจ้งว่าซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 2 ล้านหุ้น (หุ้นละ 10 บาท) เป็นเงิน 20 ล้านบาท โดยไม่ต้องชำระเงิน แต่ทำตั๋วสัญญาใช้เงิน 20 ล้านบาท ให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 1 กันยายน 2543 จริงหรือไม่ ? ยังยืนยันว่า เป็นการซื้อหุ้นจริง ไม่ใช่การเป็นโนมินีถือหุ้นแทนหรือไม่ ?
2.หลังจากได้รับเงินปันผลงวดแรก 9 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 ก็จ่ายคืน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทันที ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 และต่อมา ก็ได้รับเงินปันผลงวดที่ 2 จำนวน 13.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 ก็รีบจ่ายเช็คคืนให้ในวันที่ 8 กันยายน 2546 ทันที ทั้งจำนวน แต่กลับต้องขีดฆ่าตัวเลข 13.5 ล้านบาท และแก้ไขตัวเลข เป็น 11 ล้านบาท เพราะ มิเช่นนั้น จะ “โกหกไม่เนียน” เพราะเกินยอดหนี้ 20 ล้านบาทไป ใช่หรือไม่ ?
3.แต่ก็หลบหนีความจริงไปไม่พ้น เพราะต้องคืนเงินอีก 2.5 ล้านบาทอยู่ดี จึงเขียนเช็คใบใหม่ สั่งจ่าย “เงินสด” ทั้ง 2.5 ล้านบาท ในวันเดียวกัน ซึ่งน่าแปลก ที่กลับไปให้การต่อศาลว่า จ่ายเงินให้ น.ส. พินทองทา ชินวัตรเป็นค่า นาฬิกาจากต่างประเทศ ! ทำไมจ่ายวันเดียวกัน ? ทำไมจ่ายจำนวนเท่ากันกับที่เหลือจากปันผล ? ทำไมจ่ายพี่ชายเป็นเช็คขีดคร่อมระบุชื่อเข้าบัญชี แต่ถ้าตั้งใจจ่ายหลานสาวกลับจ่ายเป็น “เงินสด” ? หรือ เพราะต้องนึกเรื่องโกหกศาลจึงรายงานว่าตั้งใจจ่าย น.ส. พินทองทา เป็นค่านาฬิกา
น.ส. พินทองทา ไปประเทศไหนหรือ ? ซื้อนาฬิกาด้วยบัตรเครดิตอะไร หรือหอบเงินสดไปซื้อ ?
4.น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเงินค่าขายหุ้น 20 ล้านหุ้น x 49.25 บาท/หุ้น = 982 ล้านบาท หลังหักค่านายหน้า โดยที่ซื้อมาเพียง 20 ล้านบาท และได้รับปันผลไปแล้วกว่า 97 ล้านบาท ต่างกับ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จ.นนบุรี (ป.ป.ช.) ได้มีการประกาศเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 601 ล้านบาท เท่านั้น !
แล้วเงินที่เหลือหายไปไหน ?
...หากคืนพี่ชาย ก็พิสูจน์ว่าเป็น โนมินีถือหุ้นแทน
...หากเป็นเจ้าของจริง ไม่ต้องคืนพี่ชาย ก็พิสูจน์ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ปกปิดสินทรัพย์
ครอบครัวชินวัตร บริหารราชการโดยเตรียมก่อหนี้ก้อนโตไว้ให้ลูกหลาน น้ำท่วมซ้ำซาก ของแพงทั้งแผ่นดิน กลับมัวแต่สนใจแต่เรื่องของเงินครอบครัว ที่โกงไป แล้วถูกยึด ที่สุดแล้ว เป็นการทำเพื่อประชาชน หรือ เพื่อตนเองกันแน่ !
ไทยทน
สิ่งเลวร้ายแรกที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทำ คือ “การเหยียบย่ำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540” ประชาชนจะได้ร่วมกันต่อสู้อย่างเหนื่อยยาก จนได้รับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี ซึ่งห้ามรัฐมนตรีถือครองหุ้น และ มี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ห้ามรัฐมนตรีเป็นเจ้าของกิจการสัมปทานผูกขาด เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรเข้าสู่อำนาจ กลับกระทำการผิดรัฐธรรมนูญ ด้วยการนำหุ้นกิจการสัมปทานผูกขาดไป “ซุกหุ้น” กับคนที่ใกล้ชิดเป็นโนมินีตัวแทนถือหุ้น ทั้ง นาย พานทองแท้ ชินวัตร น.ส. พินทองทา ชินวัตร นาย บรรณพจน์ ดามาพงษ์ และ จนถึง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้หลังจากเป็นโนมินีตัวแทนถือหุ้นแล้ว ก็มาเป็นโนมินีตัวแทนถืออำนาจนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน
สิ่งเลวร้ายประการที่ 2 ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทำ คือ การออกไปพูดกับชาวโลกว่า “ถูกกลั่นแกล้ง” “ประเทศไทยขาดความยุติธรรม” และ สร้างกลุ่มคนสนับสนุนตัว โดยการใส่ร้ายว่า กระบวนการยุติธรรมไทย กลายเป็น กระบวนการยุติความเป็นธรรม และ สร้างความแตกแยกด้วยการสร้างนิยาย “อำมาตย์-ไพร่” นำฝูงชนเข้ามาเผาบ้านเผาเมือง ข่มขู่ที่จะสร้างสงครามกลางเมือง โดยเอาชีวิตคนไทยด้วยกันเป็นตัวประกัน ! เพื่อนำไปสู่การครอบครองอำนาจโดย น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ตัวแทน
และนี่ จะเป็นสิ่งเลวร้ายประการที่ 3 ที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กำลังจะให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ร่วมทำ คือ การออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรม เพื่อล้างผิด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรพี่ชาย และอาจถึงขั้นหวังคืนเงินโกงชาติ ที่ได้พิพากษายึดทรัพย์ไปแล้ว 4.6 หมื่นล้านบาท กลับคืน
การจะสร้างความถูกต้องด้วยการใช้ “กำลัง” แทนที่จะใช้ “หลักฐาน” มาล้มล้าง เป็นการทำผิดกฎหมาย แบบ ผิดแล้วผิดเล่า เป็นบาปกรรมต่อแผ่นดินแม่ ถ้าแม้พี่ชายทำบาปไปแล้ว ควรหรือที่น้องสาวจะต้องทำบาปกรรมต่อแผ่นดินแม่อีกด้วย ???
ถ้า นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังอยากปกป้องครอบครัวชินวัตร อย่าใช้วิธีใช้ “อำนาจ” หรือ “มวลชน” เพื่อหลีกเลี่ยงคดีความ แต่ตอบคำถามข้อสงสัยต่างๆหลักฐานตรงๆ จะดีกว่า
1. น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แจ้งว่าซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ จาก พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 2 ล้านหุ้น (หุ้นละ 10 บาท) เป็นเงิน 20 ล้านบาท โดยไม่ต้องชำระเงิน แต่ทำตั๋วสัญญาใช้เงิน 20 ล้านบาท ให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 1 กันยายน 2543 จริงหรือไม่ ? ยังยืนยันว่า เป็นการซื้อหุ้นจริง ไม่ใช่การเป็นโนมินีถือหุ้นแทนหรือไม่ ?
2.หลังจากได้รับเงินปันผลงวดแรก 9 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 ก็จ่ายคืน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรทันที ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 และต่อมา ก็ได้รับเงินปันผลงวดที่ 2 จำนวน 13.5 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2546 ก็รีบจ่ายเช็คคืนให้ในวันที่ 8 กันยายน 2546 ทันที ทั้งจำนวน แต่กลับต้องขีดฆ่าตัวเลข 13.5 ล้านบาท และแก้ไขตัวเลข เป็น 11 ล้านบาท เพราะ มิเช่นนั้น จะ “โกหกไม่เนียน” เพราะเกินยอดหนี้ 20 ล้านบาทไป ใช่หรือไม่ ?
3.แต่ก็หลบหนีความจริงไปไม่พ้น เพราะต้องคืนเงินอีก 2.5 ล้านบาทอยู่ดี จึงเขียนเช็คใบใหม่ สั่งจ่าย “เงินสด” ทั้ง 2.5 ล้านบาท ในวันเดียวกัน ซึ่งน่าแปลก ที่กลับไปให้การต่อศาลว่า จ่ายเงินให้ น.ส. พินทองทา ชินวัตรเป็นค่า นาฬิกาจากต่างประเทศ ! ทำไมจ่ายวันเดียวกัน ? ทำไมจ่ายจำนวนเท่ากันกับที่เหลือจากปันผล ? ทำไมจ่ายพี่ชายเป็นเช็คขีดคร่อมระบุชื่อเข้าบัญชี แต่ถ้าตั้งใจจ่ายหลานสาวกลับจ่ายเป็น “เงินสด” ? หรือ เพราะต้องนึกเรื่องโกหกศาลจึงรายงานว่าตั้งใจจ่าย น.ส. พินทองทา เป็นค่านาฬิกา
น.ส. พินทองทา ไปประเทศไหนหรือ ? ซื้อนาฬิกาด้วยบัตรเครดิตอะไร หรือหอบเงินสดไปซื้อ ?
4.น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเงินค่าขายหุ้น 20 ล้านหุ้น x 49.25 บาท/หุ้น = 982 ล้านบาท หลังหักค่านายหน้า โดยที่ซื้อมาเพียง 20 ล้านบาท และได้รับปันผลไปแล้วกว่า 97 ล้านบาท ต่างกับ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จ.นนบุรี (ป.ป.ช.) ได้มีการประกาศเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 601 ล้านบาท เท่านั้น !
แล้วเงินที่เหลือหายไปไหน ?
...หากคืนพี่ชาย ก็พิสูจน์ว่าเป็น โนมินีถือหุ้นแทน
...หากเป็นเจ้าของจริง ไม่ต้องคืนพี่ชาย ก็พิสูจน์ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ปกปิดสินทรัพย์
ครอบครัวชินวัตร บริหารราชการโดยเตรียมก่อหนี้ก้อนโตไว้ให้ลูกหลาน น้ำท่วมซ้ำซาก ของแพงทั้งแผ่นดิน กลับมัวแต่สนใจแต่เรื่องของเงินครอบครัว ที่โกงไป แล้วถูกยึด ที่สุดแล้ว เป็นการทำเพื่อประชาชน หรือ เพื่อตนเองกันแน่ !
ไทยทน