ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย 4.71 จุด ขานรับข่าวปัญหาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯลุล่วง โบรกฯชี้ปรับตัวน้อยเพราะรับรู้ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เตือนนักลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศต่อ เป้าหมายต่อไปตัวเลขGDPจีนไตรมาส3 ซึ่งจะประกาศวันนี้ พร้อมติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(17ต.ค.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกรับข่าวดีการขยายเพดานหนี้ในสหรัฐฯผ่านสภา โดยปิดที่ระดับ 1,469.09 จุด เพิ่มขึ้น 4.71 จุด หรือ 0.32% มูลค่าการซื้อขาย 50,595.22 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,480.65 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,463.01 จุด
โดยพบว่า บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 1,479.43 ล้านบาท สถาบัน นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 734.40 ล้านบาท , 544.66 ล้านบาท และ 200.38 ล้านบาท ตามลำดับ
รายงานข่าวระบุว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในทั้งสองสภา ต่างบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการขยายเพดานหนี้และยุติภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ยุติช่วงเวลาหลายสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอน หลังจากที่ฝ่ายรีพับลิกันตัดสินใจยอม “ถอย” ด้วยการยุติความพยายามในการสร้างเงื่อนไขด้านงบประมาณโดยนำกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ไปผูกติดเพื่อเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นหลังจากที่แฮร์รี เมสัน รีด สมาชิกวุฒิสภาวัย 73 ปีจากมลรัฐเนวาดา แห่งพรรคเดโมแครต ในฐานะผู้นำเสียงข้างมากในสภาสูง (Senate Majority Leader) ออกมายืนยันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ถึงการบรรลุข้อตกลงในวุฒิสภาเพื่อเปิดทางให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง ภายใต้ “งบประมาณชั่วคราว” ไปจนถึงวันที่ 15 มกราคมปีหน้า และกำหนดให้ขยายขอบเขตการกู้ยืมหรือ “เพดานหนี้” ของรัฐบาลวอชิงตันได้ชั่วคราวจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์
โดยการบรรลุข้อตกลงร่วมกันในทั้งสองสภา มีขึ้นเพียง 1 วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายเพิ่มเพดานหนี้จำนวน 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้รัฐบาลอเมริกันรอดพ้นการผิดนัดชำระหนี้ได้อย่างฉิวเฉียด
ด้านทำเนียบขาวออกคำแถลงที่ระบุว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะลงนามในร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของทั้งสองสภาภายในคืนวันพุธ (16) ตามเวลาท้องถิ่น และจะเร่งผลักดันให้หน่วยงานรัฐบาลกลางกลับมาเปิดทำการโดยทันที หลังประสบภาวะ “ชัตดาวน์” มานานเกินกว่า 2 สัปดาห์
ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ออกคำแถลงโดยระบุว่าสหรัฐฯ สามารถขจัดเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนและความกังวลของภาคธุรกิจและประชาชนชาวอเมริกันไปได้ในที่สุด พร้อมแสดงความคาดหวังว่า สหรัฐฯ จะไม่ต้องเผชิญวิกฤตในลักษณะเดียวกันนี้ซ้ำอีกเมื่อกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และเพดานหนี้สิ้นสุดลงในช่วงต้นปีหน้า
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่นเดียวกับดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้น ภายหลังจากเรื่องเพดานหนี้ได้ผ่านมติวุฒิสภาแล้ว ซึ่งจากนี้ก็จะส่งเรื่องมาที่สภาล่างต่อไป โดยคาดว่าน่าจะทันกับกำหนดเวลาคืนนี้ (17 ต.ค.)
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก ซึ่งขึ้นมาจากการรับรู้ข่าวดีเรื่องเพดานหนี้ในสหรัฐฯที่สามารถผ่านสภาไปได้ แต่ประเด็นนี้ไม่ได้สร้าง Surprise ให้แก่ตลาดฯ เนื่องจากตลาดฯคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะต้องผ่านไปได้ อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยจากสหรัฐฯทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวดีขึ้นกันทั่วหน้า แต่ก็ยังมองว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะยังต้องมีเรื่องของ QE ที่จะต้องติดตามดูต่อไป และจากนี้ไปจะต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจของจีนต่อไป โดยวันนี้(18 ต.ค.)จีนจะประกาศตัวเลข GDP งวดไตรมาส 3/56 ซึ่งก็คาดการณ์ว่าจะเติบโต 7.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วที่มีการเติบโต 7.5% นอกจากนี้ยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศต่อไปด้วย
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ต.ค.) ประเมินว่า ดัชนีคงจะแกว่งตัวไปตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่จะมีการประกาศออกมา และคงจะต้องติดตามดูการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/56 ของกลุ่มแบงก์, พลังงาน, สื่อสาร และก่อสร้างฯด้วย โดยให้แนวรับ 1,460 จุด ส่วนแนวต้าน 1,480-1,490 จุด
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(17ต.ค.) ดัชนีปรับตัวในแดนบวกรับข่าวดีการขยายเพดานหนี้ในสหรัฐฯผ่านสภา โดยปิดที่ระดับ 1,469.09 จุด เพิ่มขึ้น 4.71 จุด หรือ 0.32% มูลค่าการซื้อขาย 50,595.22 ล้านบาท ระหว่างวันแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,480.65 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,463.01 จุด
โดยพบว่า บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิเพียงกลุ่มเดียว 1,479.43 ล้านบาท สถาบัน นักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 734.40 ล้านบาท , 544.66 ล้านบาท และ 200.38 ล้านบาท ตามลำดับ
รายงานข่าวระบุว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในทั้งสองสภา ต่างบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการขยายเพดานหนี้และยุติภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนที่ดำเนินมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ยุติช่วงเวลาหลายสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอน หลังจากที่ฝ่ายรีพับลิกันตัดสินใจยอม “ถอย” ด้วยการยุติความพยายามในการสร้างเงื่อนไขด้านงบประมาณโดยนำกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ไปผูกติดเพื่อเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นหลังจากที่แฮร์รี เมสัน รีด สมาชิกวุฒิสภาวัย 73 ปีจากมลรัฐเนวาดา แห่งพรรคเดโมแครต ในฐานะผู้นำเสียงข้างมากในสภาสูง (Senate Majority Leader) ออกมายืนยันเมื่อหลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ ถึงการบรรลุข้อตกลงในวุฒิสภาเพื่อเปิดทางให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กลับมาเปิดทำการได้อีกครั้ง ภายใต้ “งบประมาณชั่วคราว” ไปจนถึงวันที่ 15 มกราคมปีหน้า และกำหนดให้ขยายขอบเขตการกู้ยืมหรือ “เพดานหนี้” ของรัฐบาลวอชิงตันได้ชั่วคราวจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์
โดยการบรรลุข้อตกลงร่วมกันในทั้งสองสภา มีขึ้นเพียง 1 วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายเพิ่มเพดานหนี้จำนวน 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้รัฐบาลอเมริกันรอดพ้นการผิดนัดชำระหนี้ได้อย่างฉิวเฉียด
ด้านทำเนียบขาวออกคำแถลงที่ระบุว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาจะลงนามในร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของทั้งสองสภาภายในคืนวันพุธ (16) ตามเวลาท้องถิ่น และจะเร่งผลักดันให้หน่วยงานรัฐบาลกลางกลับมาเปิดทำการโดยทันที หลังประสบภาวะ “ชัตดาวน์” มานานเกินกว่า 2 สัปดาห์
ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ออกคำแถลงโดยระบุว่าสหรัฐฯ สามารถขจัดเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนและความกังวลของภาคธุรกิจและประชาชนชาวอเมริกันไปได้ในที่สุด พร้อมแสดงความคาดหวังว่า สหรัฐฯ จะไม่ต้องเผชิญวิกฤตในลักษณะเดียวกันนี้ซ้ำอีกเมื่อกฎหมายงบประมาณชั่วคราว และเพดานหนี้สิ้นสุดลงในช่วงต้นปีหน้า
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เช่นเดียวกับดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้น ภายหลังจากเรื่องเพดานหนี้ได้ผ่านมติวุฒิสภาแล้ว ซึ่งจากนี้ก็จะส่งเรื่องมาที่สภาล่างต่อไป โดยคาดว่าน่าจะทันกับกำหนดเวลาคืนนี้ (17 ต.ค.)
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนบวก ซึ่งขึ้นมาจากการรับรู้ข่าวดีเรื่องเพดานหนี้ในสหรัฐฯที่สามารถผ่านสภาไปได้ แต่ประเด็นนี้ไม่ได้สร้าง Surprise ให้แก่ตลาดฯ เนื่องจากตลาดฯคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจะต้องผ่านไปได้ อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยจากสหรัฐฯทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างปรับตัวดีขึ้นกันทั่วหน้า แต่ก็ยังมองว่าเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะยังต้องมีเรื่องของ QE ที่จะต้องติดตามดูต่อไป และจากนี้ไปจะต้องจับตาตัวเลขเศรษฐกิจของจีนต่อไป โดยวันนี้(18 ต.ค.)จีนจะประกาศตัวเลข GDP งวดไตรมาส 3/56 ซึ่งก็คาดการณ์ว่าจะเติบโต 7.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วที่มีการเติบโต 7.5% นอกจากนี้ยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศต่อไปด้วย
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(18 ต.ค.) ประเมินว่า ดัชนีคงจะแกว่งตัวไปตามตัวเลขเศรษฐกิจของจีนที่จะมีการประกาศออกมา และคงจะต้องติดตามดูการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 3/56 ของกลุ่มแบงก์, พลังงาน, สื่อสาร และก่อสร้างฯด้วย โดยให้แนวรับ 1,460 จุด ส่วนแนวต้าน 1,480-1,490 จุด