สำหรับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล หรือพี่เสกแล้ว นับเป็นคนหนึ่งที่ผมให้ความเคารพนับถืออย่างสนิทใจ พี่เสกยังให้เกียรติขึ้นไปกล่าวอวยพรในงานแต่งงานของผม วันนี้ความรู้สึกเช่นนั้นของผมกับพี่เสกก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่า พี่เสกจะแสดงจุดยืนทางการเมืองตรงข้ามกับจุดยืนที่ผมร่วมต่อสู้ เพราะผมคิดว่าในระบอบประชาธิปไตยนั้น ความแตกต่างและการเคารพความเห็นต่างนั้นต้องนับเป็นมิติที่สวยงาม
ผมฟังปาฐกถาของพี่เสกบนเวที 40 ปี 14 ตุลาของคนเสื้อแดงแล้ว ผมไม่สงสัยอีกต่อไปเลยว่า พี่เสกมีจุดยืนร่วมกับคนเสื้อแดง นี่มิใช่การสวมหมวกให้บุคคลอื่น มิใช่การป้ายสีและผลักมิตรให้เป็นขั้วตรงข้าม แต่ความคิดที่ผ่านการเรียงร้อยประดิดประดอยด้วยตัวอักษรที่สลักสลวยของพี่เสกนั้นมันได้ทำหน้าที่บอกเล่าตัวตนและจุดยืนวันนี้ของพี่เสกด้วยตัวเอง
บอกตรงๆ ว่า ผมเคารพความคิดและจุดยืนของพี่เสกแต่ผมไม่อาจเห็นด้วยกับพี่เสก แม้ว่าตัวผมจะเทียบไม่ได้เลยกับสถานะอันสูงส่งของพี่เสก
นับจากนี้ผมจะพูดถึงเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เจ้าของปาฐกถาบนเวที 40 ปี 14 ตุลาของคนเสื้อแดง ไม่ใช่ในฐานะ “พี่เสก” แต่ยังเป็นการพูดด้วยความเคารพนับถือไม่เปลี่ยนแปลง
จริงอยู่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นเสมือนเสาหลักหนึ่งของประวัติศาสตร์ 14 ตุลา แต่สำหรับเจตนารมณ์ 14 ตุลาแล้ว หาได้มีใครเป็นเจ้าของผูกขาดหรือใช้เป็นเครื่องการันตีได้ว่า คนที่ผ่านการต่อสู้ครั้งนั้นจะคงมีเจตนารมณ์ 14 ตุลา ฝังแน่นอยู่ในตัวจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับกายและจิตตลอดไปจนชั่วอายุขัย
ฟังปาฐกถาแล้ว ผมประหลาดใจมากที่เสกสรรค์ยกย่องเสื้อแดงที่ใช้คำว่า “คนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด” และ “ผู้ประกอบการรายย่อยในเมือง” และกลุ่มทุนใหม่หรือทักษิณที่กลายเป็นหุ้นส่วนทางการเมืองที่เหลือเชื่อในความหมายว่านี่คือ วิถีประชาธิปไตยที่ใฝ่หา
กลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ที่ด้านหนึ่งเสกสรรค์บอกว่าเป็นตัวทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นจะกลายเป็นหุ้นส่วนที่เหลือเชื่อเมื่อจับมือกับคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมแต่มีพลังมากพอที่จะคุมสนามเลือกตั้งเพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าไปได้อย่างไร และจะเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันได้อย่างไร แล้วหุ้นส่วนทั้งสองปันผลกันด้วยอะไร
หรือว่าวันนี้ที่กลุ่มทุนอย่างทักษิณมีอำนาจรัฐ คนเสื้อแดงไม่ต้องเผชิญกับข้อเสียเปรียบนานัปการในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม พวกเขาสามารถเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดเสรี และขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนชั้นตนได้จริงๆ หรือ เมื่อกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์เข้ามามีอำนาจทางการเมืองสามารถลดช่องว่างทางชนชั้นเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นเช่นนั้นหรือ
เสกสรรค์มองไม่เห็นเลยหรือว่า ระบอบทักษิณแท้จริงแล้วก็คือ ระบบอุปถัมภ์ใหม่และอำนาจนิยมใหม่ที่อันตรายกว่าอำนาจเก่าหรือระบบอุปถัมภ์เก่าในอดีต เพราะระบอบอำนาจเก่าในอดีตมุ่งแต่อำนาจปกครอง แต่ระบอบทักษิณซึ่งมาจากกลุ่มทุนมุ่งที่อำนาจปกครองและผลประโยชน์ที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุดในฐานะกลุ่มทุนที่ถืออำนาจรัฐด้วย
ผมถามว่า นโยบายประชานิยมที่รัฐบาลมาจากทุนโลกาภิวัตน์มอบให้ประชาชนซึ่งเสกสรรค์พูดว่า เป็นประชาธิปไตยที่กินได้นั้น มันเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างชนชั้นจริงๆ หรือ แล้วนโยบายประชานิยมนั้นมันมีแต่ด้านบวกของมันเท่านั้นหรืออย่างไร
เสกสรรค์จะไม่ฟังเสียงของนักเศรษฐศาสตร์เลยหรือว่านโยบายประชานิยมที่รัฐบาลทุนโลกาภิวัตน์ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยมนั้นมันไม่ยั่งยืน และจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายประชานิยมที่ไร้ความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐาน หรือสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน เช่น นโยบายรถคันแรก นโยบายพักหนี้ดี นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงมาก หรือนโยบายที่เร่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐปล่อยสินเชื่อให้แก่ครัวเรือนในระดับรากหญ้า
อีกอย่างที่ผมรับไม่ได้คือ การที่เสกสรรค์เชิดชูว่า คนเสื้อแดงและทักษิณเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ 14 ตุลา แล้วชี้หน้าฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายประชาธิปไตย
มันตลกนะครับ ถ้าทักษิณจะกลายเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ 14 ตุลา เพราะมองไม่ออกเลยว่า นอกจากมาจากการเลือกตั้งแล้ว ส่วนไหนที่จะบอกได้ว่าทักษิณมีจิตวิญญาณของประชาธิปไตย ในขณะที่ผมเห็นคนเสื้อแดงเป็นเพียงกลุ่มคนที่ถูกหลอกให้มาสู้และตายแทนทักษิณ ไม่ใช่สู้เพื่อประชาธิปไตย คนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นเพียงองครักษ์พิทักษ์ทักษิณ ไล่ทุบตีคนที่มีความเห็นต่างทางการเมือง
ยังไม่ต้องพูดว่า พรรคของทักษิณเป็นพรรคที่มีอำนาจรวมศูนย์ โดยมีทักษิณเป็นเจ้าของพรรคที่มีอำนาจเด็ดขาด และสร้างพรรคมาด้วยการซื้อตัว ส.ส.และซื้อพรรคการเมือง
ผมเห็นด้วยครับว่า วัฒนธรรมการเมืองแบบอำนาจนิยมในอดีตนั้นไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และอำนาจเก่ายังคงดิ้นรนที่จะรักษาอำนาจของตน แต่ผมคิดว่า เสกสรรค์ไม่มีสิทธิ์จะคิดแบบสำเร็จรูปว่า พวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณนั้นเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่า เป็นพวกอุปถัมภ์นิยม เป็นพวกชาตินิยมที่คับแคบแยกออกจากประโยชน์สุขของประชาชน กระทั่งเป็นชนชั้นกลางที่เห็นแก่ตัว
เพราะในฐานะที่ผมร่วมต่อสู้กับกลุ่มคนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ จนถูกข้อหาก่อการร้าย ผมไม่เห็นเลยว่า กลุ่มคนที่ผมร่วมต่อสู้ด้วยนั้นจะสู้เพื่ออำนาจเก่า หรือมีชาตินิยมที่คับแคบ พวกเขาเพียงแต่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่โปร่งใส และไม่ยินยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต คนที่ต่อต้านทักษิณไม่ใช่มีเพียงชนชั้นกลาง แต่มีตั้งแต่ชนชั้นสูงสุดไปถึงชนชั้นล่างสุดของสังคม พวกเขาออกมาปกป้องความถูกต้องดีงามต่อต้านความเลวความชั่วช้าของผู้กุมอำนาจรัฐไม่ใช่ปกป้องผลประโยชน์ของตน
ผมถามว่า อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ต่างกันตรงไหน การปกครองยังคงเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจและบังคับบัญชาหรือไม่ นับตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มา โครงสร้างอำนาจนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงใด หรือเพียงแต่ผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดเปลี่ยนจากสถาบันกษัตริย์หรือผู้นำกองทัพอย่างในอดีต มาเป็นกลุ่มทุนที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วพวกเขาก็สถาปนาอำนาจใหม่ระบบอุปถัมภ์ขึ้นมาใหม่แล้วใช้อำนาจในการปกครองรวมศูนย์นี้ไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจวงศ์วานและร่ำรวยอย่างรวดเร็วและมหาศาลจากการเข้าไปกุมกระทรวงต่างๆ ในรูปแบบที่เรียกว่า คอร์รัปชันเชิงนโยบาย และหากินกับ 30% ของงบประมาณ แล้วใช้เงินของรัฐซื้อความนิยมผ่านนโยบายประชานิยม
หรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายตราบเท่าที่พวกเขามาจากการเลือกตั้งและสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตย
บอกตรงๆ ครับว่า ผมรู้สึกผิดหวังปาฐกถาของเสกสรรค์ที่ได้รับเสียงปรบมือและกรีดร้องจากคนเสื้อแดง ทั้งนี้เพราะผมไม่อยากเห็นเสกสรรค์เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของระบอบทักษิณ แม้ว่าสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นนั้นได้เกิดขึ้นแล้วก็ตาม
ผมฟังปาฐกถาของพี่เสกบนเวที 40 ปี 14 ตุลาของคนเสื้อแดงแล้ว ผมไม่สงสัยอีกต่อไปเลยว่า พี่เสกมีจุดยืนร่วมกับคนเสื้อแดง นี่มิใช่การสวมหมวกให้บุคคลอื่น มิใช่การป้ายสีและผลักมิตรให้เป็นขั้วตรงข้าม แต่ความคิดที่ผ่านการเรียงร้อยประดิดประดอยด้วยตัวอักษรที่สลักสลวยของพี่เสกนั้นมันได้ทำหน้าที่บอกเล่าตัวตนและจุดยืนวันนี้ของพี่เสกด้วยตัวเอง
บอกตรงๆ ว่า ผมเคารพความคิดและจุดยืนของพี่เสกแต่ผมไม่อาจเห็นด้วยกับพี่เสก แม้ว่าตัวผมจะเทียบไม่ได้เลยกับสถานะอันสูงส่งของพี่เสก
นับจากนี้ผมจะพูดถึงเสกสรรค์ ประเสริฐกุล เจ้าของปาฐกถาบนเวที 40 ปี 14 ตุลาของคนเสื้อแดง ไม่ใช่ในฐานะ “พี่เสก” แต่ยังเป็นการพูดด้วยความเคารพนับถือไม่เปลี่ยนแปลง
จริงอยู่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นเสมือนเสาหลักหนึ่งของประวัติศาสตร์ 14 ตุลา แต่สำหรับเจตนารมณ์ 14 ตุลาแล้ว หาได้มีใครเป็นเจ้าของผูกขาดหรือใช้เป็นเครื่องการันตีได้ว่า คนที่ผ่านการต่อสู้ครั้งนั้นจะคงมีเจตนารมณ์ 14 ตุลา ฝังแน่นอยู่ในตัวจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับกายและจิตตลอดไปจนชั่วอายุขัย
ฟังปาฐกถาแล้ว ผมประหลาดใจมากที่เสกสรรค์ยกย่องเสื้อแดงที่ใช้คำว่า “คนชั้นกลางใหม่ในต่างจังหวัด” และ “ผู้ประกอบการรายย่อยในเมือง” และกลุ่มทุนใหม่หรือทักษิณที่กลายเป็นหุ้นส่วนทางการเมืองที่เหลือเชื่อในความหมายว่านี่คือ วิถีประชาธิปไตยที่ใฝ่หา
กลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ที่ด้านหนึ่งเสกสรรค์บอกว่าเป็นตัวทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นจะกลายเป็นหุ้นส่วนที่เหลือเชื่อเมื่อจับมือกับคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในสังคมแต่มีพลังมากพอที่จะคุมสนามเลือกตั้งเพื่อสร้างสรรค์ประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าไปได้อย่างไร และจะเป็นหุ้นส่วนที่เท่าเทียมกันได้อย่างไร แล้วหุ้นส่วนทั้งสองปันผลกันด้วยอะไร
หรือว่าวันนี้ที่กลุ่มทุนอย่างทักษิณมีอำนาจรัฐ คนเสื้อแดงไม่ต้องเผชิญกับข้อเสียเปรียบนานัปการในโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม พวกเขาสามารถเพิ่มอำนาจต่อรองในตลาดเสรี และขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนชั้นตนได้จริงๆ หรือ เมื่อกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์เข้ามามีอำนาจทางการเมืองสามารถลดช่องว่างทางชนชั้นเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นเช่นนั้นหรือ
เสกสรรค์มองไม่เห็นเลยหรือว่า ระบอบทักษิณแท้จริงแล้วก็คือ ระบบอุปถัมภ์ใหม่และอำนาจนิยมใหม่ที่อันตรายกว่าอำนาจเก่าหรือระบบอุปถัมภ์เก่าในอดีต เพราะระบอบอำนาจเก่าในอดีตมุ่งแต่อำนาจปกครอง แต่ระบอบทักษิณซึ่งมาจากกลุ่มทุนมุ่งที่อำนาจปกครองและผลประโยชน์ที่มุ่งเน้นกำไรสูงสุดในฐานะกลุ่มทุนที่ถืออำนาจรัฐด้วย
ผมถามว่า นโยบายประชานิยมที่รัฐบาลมาจากทุนโลกาภิวัตน์มอบให้ประชาชนซึ่งเสกสรรค์พูดว่า เป็นประชาธิปไตยที่กินได้นั้น มันเป็นเครื่องมือในการลดช่องว่างระหว่างชนชั้นจริงๆ หรือ แล้วนโยบายประชานิยมนั้นมันมีแต่ด้านบวกของมันเท่านั้นหรืออย่างไร
เสกสรรค์จะไม่ฟังเสียงของนักเศรษฐศาสตร์เลยหรือว่านโยบายประชานิยมที่รัฐบาลทุนโลกาภิวัตน์ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความนิยมนั้นมันไม่ยั่งยืน และจะเกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายประชานิยมที่ไร้ความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นนโยบายที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐาน หรือสวัสดิการพื้นฐานของประชาชน เช่น นโยบายรถคันแรก นโยบายพักหนี้ดี นโยบายจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาที่สูงมาก หรือนโยบายที่เร่งให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐปล่อยสินเชื่อให้แก่ครัวเรือนในระดับรากหญ้า
อีกอย่างที่ผมรับไม่ได้คือ การที่เสกสรรค์เชิดชูว่า คนเสื้อแดงและทักษิณเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ 14 ตุลา แล้วชี้หน้าฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายประชาธิปไตย
มันตลกนะครับ ถ้าทักษิณจะกลายเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ 14 ตุลา เพราะมองไม่ออกเลยว่า นอกจากมาจากการเลือกตั้งแล้ว ส่วนไหนที่จะบอกได้ว่าทักษิณมีจิตวิญญาณของประชาธิปไตย ในขณะที่ผมเห็นคนเสื้อแดงเป็นเพียงกลุ่มคนที่ถูกหลอกให้มาสู้และตายแทนทักษิณ ไม่ใช่สู้เพื่อประชาธิปไตย คนเสื้อแดงที่เป็นมวลชนส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นเพียงองครักษ์พิทักษ์ทักษิณ ไล่ทุบตีคนที่มีความเห็นต่างทางการเมือง
ยังไม่ต้องพูดว่า พรรคของทักษิณเป็นพรรคที่มีอำนาจรวมศูนย์ โดยมีทักษิณเป็นเจ้าของพรรคที่มีอำนาจเด็ดขาด และสร้างพรรคมาด้วยการซื้อตัว ส.ส.และซื้อพรรคการเมือง
ผมเห็นด้วยครับว่า วัฒนธรรมการเมืองแบบอำนาจนิยมในอดีตนั้นไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย และอำนาจเก่ายังคงดิ้นรนที่จะรักษาอำนาจของตน แต่ผมคิดว่า เสกสรรค์ไม่มีสิทธิ์จะคิดแบบสำเร็จรูปว่า พวกที่ต่อต้านระบอบทักษิณนั้นเป็นเครื่องมือของกลุ่มอำนาจเก่า เป็นพวกอุปถัมภ์นิยม เป็นพวกชาตินิยมที่คับแคบแยกออกจากประโยชน์สุขของประชาชน กระทั่งเป็นชนชั้นกลางที่เห็นแก่ตัว
เพราะในฐานะที่ผมร่วมต่อสู้กับกลุ่มคนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ จนถูกข้อหาก่อการร้าย ผมไม่เห็นเลยว่า กลุ่มคนที่ผมร่วมต่อสู้ด้วยนั้นจะสู้เพื่ออำนาจเก่า หรือมีชาตินิยมที่คับแคบ พวกเขาเพียงแต่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่โปร่งใส และไม่ยินยอมให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต คนที่ต่อต้านทักษิณไม่ใช่มีเพียงชนชั้นกลาง แต่มีตั้งแต่ชนชั้นสูงสุดไปถึงชนชั้นล่างสุดของสังคม พวกเขาออกมาปกป้องความถูกต้องดีงามต่อต้านความเลวความชั่วช้าของผู้กุมอำนาจรัฐไม่ใช่ปกป้องผลประโยชน์ของตน
ผมถามว่า อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ต่างกันตรงไหน การปกครองยังคงเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจและบังคับบัญชาหรือไม่ นับตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มา โครงสร้างอำนาจนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเพียงใด หรือเพียงแต่ผู้ใช้อำนาจเด็ดขาดเปลี่ยนจากสถาบันกษัตริย์หรือผู้นำกองทัพอย่างในอดีต มาเป็นกลุ่มทุนที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วพวกเขาก็สถาปนาอำนาจใหม่ระบบอุปถัมภ์ขึ้นมาใหม่แล้วใช้อำนาจในการปกครองรวมศูนย์นี้ไปเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเพื่อสร้างความเติบโตให้กับธุรกิจวงศ์วานและร่ำรวยอย่างรวดเร็วและมหาศาลจากการเข้าไปกุมกระทรวงต่างๆ ในรูปแบบที่เรียกว่า คอร์รัปชันเชิงนโยบาย และหากินกับ 30% ของงบประมาณ แล้วใช้เงินของรัฐซื้อความนิยมผ่านนโยบายประชานิยม
หรือว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายตราบเท่าที่พวกเขามาจากการเลือกตั้งและสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตย
บอกตรงๆ ครับว่า ผมรู้สึกผิดหวังปาฐกถาของเสกสรรค์ที่ได้รับเสียงปรบมือและกรีดร้องจากคนเสื้อแดง ทั้งนี้เพราะผมไม่อยากเห็นเสกสรรค์เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของระบอบทักษิณ แม้ว่าสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นนั้นได้เกิดขึ้นแล้วก็ตาม