xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บันทึกสยิว “แอนบลูสกาย-นายมิตซูโอะ” (ครั้งแรกของหนุ่มสาว)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลับกลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้งสำหรับเรื่องราว “รักๆ ใคร่ๆ” ระหว่าง “นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ” หรือ “อดีตพระมิตซูโอะ เควสโก” กับ “แอน บลูสกาย” หรือ “นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ” ไฮโซสาวใหญ่หลังควงคู่กันออกมาเปิดใจถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการตัดสินใจหันหลังให้ผ้าเหลืองเพื่อมาใช้ชีวิตเยี่ยงคู่ผัวตัวเมียกับรายการโทรทัศน์ชื่อดัง พร้อมทั้งเปิดตัวหนังสือ 2 เล่มที่มีชื่อว่า ความในใจ...อาจารย์มิตซูโอะ” และ “บทเทศน์วันสุดท้าย ในเพศบรรพชิต”

เพราะนี่ไม่ใช่การควงคู่กันออกมาให้สัมภาษณ์แบบธรรมดา หากแต่ก้าวล่วงไปถึงเรื่องเพศสัมพันธ์ที่อดีตพระมิตซูโอะยอมรับด้วยปากของตนเองว่า เปิดซิงหรือเสียความบริสุทธิ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 62 ปี เช่นเดียวกับแอน บลูสกายที่ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า สถานที่ที่ทั้งสองมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเกิดขึ้นในคืนแรกที่ไปฮันนีมูนที่ฮ่องกง

จริงอยู่ สังคมเข้าใจได้ว่า อดีตพระมิตซูโอะและภรรยาต้องการคลี่คลายปมในใจซึ่งถูกกล่าวหาเรื่องห้วงเวลาของการมีเซ็กซ์ให้สังคมได้เข้าใจว่า มิได้เกิดขึ้นในขณะครองสมณเพศ เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนามิให้มัวหมอง แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเปิดเผยอย่างหมดเปลือกกลับไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ เพราะสุดท้ายที่สังคมจดจำได้กลับกลายเป็นเรื่อง “บันทึกสยิว” เพียงเรื่องเดียวเดียวเท่านั้น

แน่นอน ความรักเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์สวยงาม

แน่นอน ความใคร่และการมีเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากความรักอันบริสุทธิ์ก็เป็นสิ่งที่สวยงามเช่นกัน

แต่ถามว่า เหมาะสมหรือไม่กับการที่อดีตพระสงฆ์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างอดีตพระมิตซูโอะกับอดีตสีกาที่ได้ชื่อว่าไปสึกพระมาทำสามีจะออกมาเปิดเผยอย่างหมดเปลือกถึงเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศอย่างหมดเปลือกเยี่ยงนี้

ลูกศิษย์ลูกหาที่ติดสอยห้อยตามเพราะเคารพศรัทธาในศีลาจารวัตรและคำเทศนาสั่งสอนจะมีความรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นพระอาจารย์ที่ตัวเองเคารพนับถือพูดออกมาว่า “38 พรรษา คุณแอนถือเป็นคนแรกและคนสุดท้าย ก่อนบวชไม่เคยมีแฟน คุณแอนเป็นแฟนคนแรกในชีวิต เสียเวอร์จิ้นให้คุณแอนตอนอายุ 62 ปี”

การออกมาเปิดเผยเรื่องความรักไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การออกมาเปิดเผยเรื่องความใคร่ แถมยังพูดออกมาหน้าตาเฉยว่าเสียเวอร์จิ้นให้ภรรยาตอนอายุ 62 ปีนั้นเป็นเรื่องที่สังคมไม่อาจยอมรับได้ ยิ่งเป็นอดีตพระที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนพูดออกมาจากปากของตนเองด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าทัศนคติในทางลบจะทวีเพิ่มสูงขึ้นสักเพียงใด

เข้าทำนองว่า ทั้งรักทั้งชังทั้งหวานและขมขื่นทีเดียว

หนักไปกว่านั้นคือหลังจากที่อดีตพระมิตซูโอะยอมรับเรื่องการเสียเวอร์จิ้นไปเพียงแค่วันเดียว แอน บลูสกายก็ออกมาพูดถึงเรื่องในทำนองเดียวกันในวันถัดมาอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยว่า “ยอมรับว่า ช่วงไปฮันนีมูนมีความสุขมากที่มีโอกาสได้อยู่กันอย่างใกล้ชิด เพราะก่อนหน้านั้นท่านยังอยู่ในเพศบรรพชิตไม่เหมาะสมที่จะอยู่ใกล้ชิดกัน และไม่ได้เป็นไปตามกระแสโจมตีในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่า มีความสัมพันธ์กันที่คลินิกของตนเองบ้างหรือที่คอนโดฯ ย่านเจริญกรุง ทั้งนี้ ยืนยันว่า ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา มีขึ้นครั้งแรกขณะไปฮันนีมูนคืนแรกที่ฮ่องกง ยอมรับว่ามีความสุขมากที่สุดในชีวิต”

จริงอยู่ นางสุทธิรัตน์ต้องการต้องย้ำว่าการมีเพศสัมพันธ์มิได้เกิดขึ้นในรระหว่างที่เป็นสมณเพศ เพื่อปกป้องพระศาสนาเช่นเดียวกับสามี แต่มีความจำเป็นอันใดนางสุทธิรัตน์ถึงต้องบอกต่อหน้าสาธารณชนว่ามีเซ็กซ์ครั้งแรกที่แห่งหนตำบลไหน เพียงแค่ปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำผิดศีลในช่วงที่สามีตนเองเป็นบรรพชิตก็น่าจะเพียงพอแล้ว

คำถามก็คือ ทำไมทั้งคู่ถึงไม่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่อย่างเรียบง่าย และไม่กระทำการอันใดที่อาจส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนา

คำถามก็คือ ทำไมทั้งคู่ถึงตัดสินใจออกรายการโทรทัศน์และให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ราวกับไม่ต้องการให้เรื่องฉาวๆ ของตนเองเงียบหายไปเช่นนั้น

และทำไมทั้งคู่ถึงต้องนำเรื่องความใคร่ ซึ่งเป็นเรื่องของคนสองคนมาเปิดเผยต่อสาธารณชนเช่นนี้

หรือเป็นเพราะทั้งคู่ต้องการขายหนังสือที่นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิเขียนขึ้นมา 2 เล่มโดยใช้ชื่อว่า “ความในใจ...อาจารย์มิตซูโอะ” และ “บทเทศน์วันสุดท้าย ในเพศบรรพชิต” ซึ่งทั้งสองคนควงคู่กันไปเปิดตัวที่ห้องแคมปัส โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา

ทั้งสองคนโดยเฉพาะอดีตพระมิตซูโอะคงจะคิดไม่ถึงว่า แม้การเปิดเผยเรื่องนี้จะมีผลต่อการกระตุ้นยอดขายหนังสือให้ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ในชั่วพริบจากการผู้คนที่กระหายใคร่รู้ แต่ในทางตรงกันข้ามก็อาจจะเกิดผลด้านลบอย่างที่มิอาจประมาณการณ์ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในหมู่ลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะที่อาจตัดสินใจไม่หยิบหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากรับไม่ได้กับการกำเนิดใหม่ของ “ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง” ที่เป็นไปอย่างสุดขั้ว

“เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตอนเป็นพระมีแต่คนยกย่อง พอลาสิขาไปมีแต่คนโจมตี ไม่มีใครเกรงใจเลย ….ก็เสียใจเหมือนกันว่าสิ่งที่เคยเขียนสอนเอาไว้ถูกมูลนิธิปิดกั้นหมด ไม่ให้เข้าวัด”

นั่นคือความจริงจากปากของอดีตพระมิตซูโอะถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตนเองภรรยา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ขณะที่นางสุทธิรัตน์ก็ยอมรับเช่นกันว่า กลุ่มลูกศิษย์ของอดีตพระมิตซูโอะไม่พอใจ

“เท่าที่ทราบตอนนี้ยอดขายดีมาก มีคนสนใจล้นหลาม ส่วนเรื่องที่ไปมูลนิธิมายาโคตรมีแล้วถูกห้ามไม่ให้เข้าไปอีกก็เป็นเรื่องจริง”

ทว่า กลุ่มลูกศิษย์ก็ยืนยันว่า แม้จะเศร้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ยังเคารพท่านเสมอในฐานะครูบาอาจารย์

ไม่มีใครไม่ยอมรับในความรักของคนทั้งคู่ เพราะในช่วงแรกที่ปรากฏความชัดเจนเรื่องอดีตพระมิตซูโอะลาสิกขาเพื่อไปใช้ชีวิตคู่ผัวตัวเมียกับนางสุทธิรัตน์ คนส่วนใหญ่ก็มิได้ตำหนิเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางที่เสียหาย เพราะรับได้กับการที่อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสึกก่อนที่จะเกิดเรื่องฉาวในขณะครองผ้าเหลือง มิหนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังอนุโมทนากับความรัก ของคนทั้งคู่อีกต่างหาก จะมีอยู่บ้างก็เสียงวิพากษ์วิจารณ์นางสุทธิรัตน์ในทำนองว่า ผู้ชายในโลกนี้มีมากมาย ทำไมถึงต้องไปข้องเกี่ยวกับพระด้วยก็เท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไร

แต่กับการออกมาเปิดเผยเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของทั้งคู่เที่ยวนี้ ดูเหมือนว่า เสียงที่เคยชื่นชมจะลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ เพราะไม่มีใครรับได้กับเรื่องที่ทั้งคู่พูดออกมา ขณะที่หลายคนถึงกับตำหนิติฉินอดีตพระมิตซูโอะไม่ต่างจากที่เคยติฉินนางสุทธิรัตน์อีกต่างหาก เนื่องจากเห็นว่า ทั้งสองคนกำลังอาศัยภาพความเป็นพระสุปฏิปันโนของพระมิตซูโอะ เควสโกมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว

อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องเซ็กซ์แล้ว การออกมาเปิดตัวของทั้งคู่อย่างเป็นทางการดูเหมือนว่า จะพุ่งเป้าไปที่การแก้ข่าวฉาวโฉ่ที่สังคมเมาท์มอยกันอย่างสนุกปากในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโดนของและหนี้สินของนางสุทธิรัตน์

สำหรับกรณีโดนของและมีผู้จับผิดว่ามือดำเพราะโดนของนั้น อดีตพระมิตซูโอะเปิดเผยว่า ไม่เป็นความจริง

“พระวัดป่ามีกฎว่าจะลาสิกขานั้นต้องทำความสะอาดกุฎิ แล้วต้องทำเองทุกอย่าง ต้องเก็บของเผาขยะเอง เพราะว่าเรื่องสึกเป็นความลับ วันนั้นมือก็เลยดำ ชาวบ้านเลยบอกว่าเราโดนของ แล้วก็เจ็บมือเจ็บขาด้วยเพราะว่าต้องเดินทั้งวันทำให้เดินผิดปกติ ที่ไม่อยากบอกตอนนั้นก็เพราะกลัววุ่นวาย เพราะว่าสึกลำบากมาก มีคนห้ามไม่ให้ลาสิกขา ต้องวิ่งหาวัดสึกให้เพราะจะต้องเดินทางไปญี่ปุ่น แอนเลยรีบหาวัดให้สึก แต่ก็ไม่มีใครสึกให้ ไม่มีวัดไหนสึกให้เพราะว่าไม่กล้า เพราะบวช 38 พรรษา กลัวสังคมประณาม สุดท้ายไปวัดชนะสงคราม เป็นวัดที่มีพระอาจารย์แอนรู้จักอายุประมาน70 เป็นคนสึกให้”

แน่นอนในประเด็นนี้ สังคมน่าจะไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป เพราะลองออกมายอมรับถึงขนาดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างเปิดเผยเช่นนี้ อดีตพระมิตซูโอะคงไม่ได้สึกเพราะโดนของแน่ และถ้าจะโดนก็น่าจะโดนของดีของนางสุทธิรัตน์มากกว่า เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ตัดสินใจสึกอย่างกะทันหันอย่างนี้

ส่วนกรณีเสียวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้นเหตุของการสึกพระมิตซูโอะเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหนี้สินมูลค่า 1,500 ล้านนั้น แอน-สุทธิรัตน์ยืนยันว่า “เพราะทำธุรกิจแล้วต้องมีหลักทรัพย์เป็นหนี้ธรรมดา ก็ยืนยันไม่ได้เลยว่าไม่ได้แต่งงานกับท่านเพราะเกาะท่าน เพราะท่านเป็นพระวัดป่าไม่มีเงิน ที่เห็นว่ามีคนเอาเงินมาบริจาคนั้นเอาเข้าวัดกับมูลนิธิหมดเลย แม้ว่าคนให้ส่วนตัวก็ไม่เอา”

แน่นอน ประเด็นนี้ สังคมส่วนใหญ่น่าจะเชื่อ เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ทั้งสองคนจะต้องลุกขึ้นมาเขียนหนังสือขายถ้าหากร่ำรวย ทรัพย์ศฤงคารจริงๆ ซึ่งล่าสุดนางสุทธิรัตน์ได้ออกมาเปิดเผยว่า กำลังอยู่ระหว่างการขายโรงแรม 3 แห่งที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี และที่จังหวัดภูเก็ตกับจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสะสางหนี้ที่คั่งค้างทั้งหมด แล้วจึงเดินทางกลับญี่ปุ่นในช่วยสิ้นเดือนตุลาคมเพื่อเดินหน้าทำสถานปฏิบัติธรรม

และทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของอดีตพระมิตซูโอและนางสุทธิรัตน์ ชิบาฮาชิที่กำลังเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งวันนี้ ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของทั้งสองคนได้กลายเป็น “บันทึกสยิว” ที่สะท้านสะเทือนในหัวอกและหัวใจผู้คนไม่น้อย



กำลังโหลดความคิดเห็น