วานนี้ (2 ต.ค.) นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการ และโฆษกผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึง ความคืบหน้ากรณีที่ นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้อง ขอให้ตรวจสอบ กรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปราศรัยในงานสัมมนา “1 ปี ยิ่งลักษณ์กับอนาคตเศรษฐกิจไทย” ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อวันที่ 23 ส.ค.55 โดยออกมายอมรับว่า ตัวเลขเป้าการส่งออกในปี 2555 เติบโตไม่ถึง 15 % อย่างที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งระบุว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะพูดในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรมว.คลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบ้างเรื่องก็ได้ นั้น ขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2551 หรือไม่ ว่า เรื่องนี้ ผู้ตรวจการฯ ได้มีคำวินิจฉัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมได้ทำสำเนาส่งให้ผู้ร้อง และนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว โดยก่อนมีคำวินิจฉัย ก็ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่อาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อาทิ สมาคมหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาชี้แจง เกี่ยวกับการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจว่า ถือเป็นตัวเลขที่ใช้การคาดการณ์บวกกับความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำ ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจรอบด้านด้วย
“หน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า การประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจที่นายกิตติรัตน์ พูดนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ เนื่องจากภาคเอกชน ก็มีการประมาณการค่าเฉลี่ยเศรษฐกิจของแต่ละองค์กรธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ได้โน้มอิงกับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเดียว อีกทั้งยังย้ำว่า เหตุที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปที่มีปัญหาในขณะนั้นด้วย ส่งผลให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจลดลง”นายรักษเกชา กล่าวดังนั้น ผู้ตรวจการฯ จึงมีความเห็นว่า การที่นายกิตติรัตน์ ออกมายอมรับว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ ในปี 2555 ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์นั้น ถือว่าไม่เข้าข่ายขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามปกติที่รัฐบาลทำ
อย่างไรก็ตาม การที่นายกิตติรัตน์ ออกมาระบุว่า ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรมว.คลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องก็ได้นั้น แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อภาคเอกชน แต่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวนายกิตติรัตน์ ความเชื่อถือต่อคณะรัฐมนตรี และความเชื่อถือของประเทศด้วย ผู้ตรวจการฯ จึงทำความเห็นดังกล่าว ส่งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กำชับให้รัฐมนตรีตระหนักถึงการให้ข้อมูลต่อสาธารณะชน ที่อาจเป็นอันส่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย
“หน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า การประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจที่นายกิตติรัตน์ พูดนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ เนื่องจากภาคเอกชน ก็มีการประมาณการค่าเฉลี่ยเศรษฐกิจของแต่ละองค์กรธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ได้โน้มอิงกับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเดียว อีกทั้งยังย้ำว่า เหตุที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปที่มีปัญหาในขณะนั้นด้วย ส่งผลให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจลดลง”นายรักษเกชา กล่าวดังนั้น ผู้ตรวจการฯ จึงมีความเห็นว่า การที่นายกิตติรัตน์ ออกมายอมรับว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ ในปี 2555 ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์นั้น ถือว่าไม่เข้าข่ายขัดต่อระเบียบสำนักนายกฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามปกติที่รัฐบาลทำ
อย่างไรก็ตาม การที่นายกิตติรัตน์ ออกมาระบุว่า ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรมว.คลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องก็ได้นั้น แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อภาคเอกชน แต่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวนายกิตติรัตน์ ความเชื่อถือต่อคณะรัฐมนตรี และความเชื่อถือของประเทศด้วย ผู้ตรวจการฯ จึงทำความเห็นดังกล่าว ส่งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กำชับให้รัฐมนตรีตระหนักถึงการให้ข้อมูลต่อสาธารณะชน ที่อาจเป็นอันส่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย