นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการและโฆษกผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องขอให้ตรวจสอบกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปราศรัยในงานสัมมนา "1 ปี ยิ่งลักษณ์กับอนาคตเศรษฐกิจไทย" ที่โรงแรมดุสิตธานี เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2555 นั้น โดยออกยอมรับว่าเป้าการส่งออกในปี 2555 เติบโตไม่ถึง 15% อย่างที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งระบุว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะพูดในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบ้างเรื่องก็ได้นั้น ขัดต่อระเบียบสำนักนายกว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 หรือไม่ ว่า เรื่องนี้ ผู้ตรวจการฯ ได้มีคำวินิจฉัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา พร้อมได้ทำสำเนาส่งให้ผู้ร้องและนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อาทิ สมาคมหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาชี้แจง เกี่ยวกับการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจว่า ถือเป็นตัวเลขที่ใช้การคาดการณ์บวกกับความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำ ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจรอบด้านด้วย
โดยหน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า การประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจของนายกิตติรัตน์ ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ เนื่องจากภาคเอกชนก็มีการประมาณการค่าเฉลี่ยเศรษฐกิจของแต่ละองค์กรธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ได้โน้มอิงกับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเดียว อีกทั้งยังย้ำว่า เหตุที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปที่มีปัญหาในขณะนั้นด้วย ส่งผลให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจลดลง ดังนั้น ผู้ตรวจการฯ จึงมีความเห็นว่า การที่นายกิตติรัตน์ ออกมายอมรับว่าตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2555 ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์นั้น ถือว่าไม่เข้าข่ายขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามปกติที่รัฐบาลทำ
อย่างไรก็ตาม การที่นายกิตติรัตน์ ออกมาระบุว่า ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบ้างเรื่องก็ได้ นั้น แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อภาคเอกชน แต่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวนายกิตติรัตน์ ความเชื่อถือต่อคณะรัฐมนตรี และความเชื่อถือของประเทศด้วย ผู้ตรวจการฯ จึงทำความเห็นดังกล่าวส่งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กำชับให้รัฐมนตรีตระหนักถึงการให้ข้อมูลต่อสาธารณชน ที่อาจเป็นอันส่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าว ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อาทิ สมาคมหอการค้าไทย สมาคมธนาคารไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้ามาชี้แจง เกี่ยวกับการประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจว่า ถือเป็นตัวเลขที่ใช้การคาดการณ์บวกกับความพยายามที่จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ตามเป้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลทุกรัฐบาลต้องทำ ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจรอบด้านด้วย
โดยหน่วยงานต่างๆ ยืนยันว่า การประมาณการตัวเลขทางเศรษฐกิจของนายกิตติรัตน์ ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ เนื่องจากภาคเอกชนก็มีการประมาณการค่าเฉลี่ยเศรษฐกิจของแต่ละองค์กรธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ได้โน้มอิงกับตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างเดียว อีกทั้งยังย้ำว่า เหตุที่ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจยุโรปที่มีปัญหาในขณะนั้นด้วย ส่งผลให้ภาพรวมทางเศรษฐกิจลดลง ดังนั้น ผู้ตรวจการฯ จึงมีความเห็นว่า การที่นายกิตติรัตน์ ออกมายอมรับว่าตัวเลขเศรษฐกิจในปี 2555 ไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์นั้น ถือว่าไม่เข้าข่ายขัดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2551 เนื่องจากเป็นการคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจตามปกติที่รัฐบาลทำ
อย่างไรก็ตาม การที่นายกิตติรัตน์ ออกมาระบุว่า ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบ้างเรื่องก็ได้ นั้น แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อภาคเอกชน แต่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของตัวนายกิตติรัตน์ ความเชื่อถือต่อคณะรัฐมนตรี และความเชื่อถือของประเทศด้วย ผู้ตรวจการฯ จึงทำความเห็นดังกล่าวส่งให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา กำชับให้รัฐมนตรีตระหนักถึงการให้ข้อมูลต่อสาธารณชน ที่อาจเป็นอันส่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย