มีคำถาม “ขวานผ่าซาก” ว่า เผด็จการทหารกับเผด็จการรัฐสภา..ใครชั่วกว่ากัน?
คอการเมืองหลายคนฟันธงว่า เผด็จการรัฐสภาชั่วกว่าแน่นอน..เพราะโกงชาติเก่งกว่า!
หลัง “ปรีดี พนมยงค์” กับพวกก่อการรัฐประหารนำการเลือกตั้งแบบตะวันตกมาใช้ในชาติไทย โดยคนไทยยังไม่พร้อมในทุกมิติ ไทยจึงได้รัฐบาลชั่วโกงชาติ ขึ้นปกครองบ้านเมืองโดยส่วนใหญ่ นั่นเป็นช่องทางให้ทหารลากรถถังออกมารัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแบบซ้ำซาก ทว่า..รัฐบาลทหารก็ “ติดกับ” กับการต้องจัดให้มีการ “เลือกตั้ง” สกปรกทุกครั้ง จึงทำให้นายทุนสามานย์และนักการเมืองชั่ว ใช้เงินซื้อเสียงกลับมายึดอำนาจรัฐได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเกิดวงจรอุบาทว์ขึ้นในชาติไทย นั่นคือ นักเลือกตั้งใช้เงิน-การโกง-การหลอกลวง-การเข่นฆ่า บังคับผู้คนให้ลงคะแนนเสียงเลือกพวกตน ให้ได้ ส.ส.เสียงข้างมากเข้ายึดสภาฯ เพื่อตั้งรัฐบาลชั่วโกงชาติที่ไม่รู้จักพอ รวมทั้งสะสมเงินไว้ซื้อเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
เผด็จการรัฐสภาที่ชั่วช้าสามานย์ ได้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้คนในสังคม ทหารจึงฉวยโอกาสทำรัฐประหาร ด้วยข้ออ้างโค่นล้มรัฐบาลเลือกตั้งที่ขี้โกง แล้วยึดอำนาจรัฐมาเป็นของตนและพวกพ้องชั่วคราว
ชาติและคนไทยจึงต้องจมปลักอยู่กับการเมือง “หนีเสือ-ปะจระเข้” หรือ “อัปรีย์ไป-จัญไรมา” เพราะทั้งเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการทหาร มีแต่หลับหูหลับตาโกงชาติลูกเดียว โดยไม่เคยปฏิรูปชาติไทยให้ดีขึ้นแม้แต่น้อยเลย
โดยเฉพาะยุครัฐบาลเครือข่าย “ทักษิณ” ที่โกงชาติกันอย่างมโหฬาร แถมยังมุ่งทำลายสถาบันสูงสุดของชาติอีกด้วย จึงหวาดกลัวจะถูกรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง ทำให้ขี้ข้าทั้งนักการเมือง-นักวิชาการ-สื่อมวลชนชั่วๆ ทั้งหลาย ถูกใช้ให้โหมประโคมข่าวว่า..
รัฐบาลที่ (ใช้เงินซื้อเสียง) ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา (โกงชาติ)..กำลังจะโดนรัฐประหารอีกแล้ว!
ต้องรู้นะว่า..ชาติไทยเกิดรัฐประหารที่สำเร็จถึง 13 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มต้นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดย “ปรีดี พนมยงค์” กับ “คณะราษฏร์” ที่ให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แล้วนำระบอบการเลือกแบบตะวันตกมาใช้ ท่ามกลางความไม่พร้อมของคนไทยในทุกมิติ จนเกิดปัญหาวิกฤตการเมืองอันชั่วร้ายในวันนี้
ครั้งล่าสุดวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหารล้มรัฐบาล “ทักษิณ” ด้วยข้อหาโกงชาติ-ล้มล้างสถาบันสูงสุด-ทำให้คนไทยแตกแยกฆ่ากันเอง ฯลฯ
64 ปี นับแต่ปี 2489-2553 ไทยจึงเป็นประเทศที่มีการทำรัฐประหารติดอันดับ 4 ของโลก!
ครานี้มาดูซิว่า..รัฐบาลเผด็จการ “ทหาร” กับรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา “เหลี่ยม” ใครโกงเก่งกว่ากัน?
ตอนยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2501 “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” มีทรัพย์สินและเงินสดแค่ 10 ล้านบาท แต่ลาโลกในวันที่ 8 ธ.ค. 2506 “สฤษดิ์” มีทรัพย์สิน 2,874 ล้านบาท (ตามที่ทนายความของ “สฤษดิ์” ชมภู อรรถจินดา ยื่นต่อศาล) ช่วง 5 ปีหรือ 1,875 วัน ที่ครองอำนาจนั้น “สฤษดิ์” มีรายได้ 2,864 ล้านบาท เท่ากับ 1.5 ล้านบาท/วัน!
20 พ.ย. 2507 “จอมพลถนอม กิตติขจร” ใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์ “สฤษดิ์” เป็นของแผ่นดิน 604,551,276.62 บาท แต่เผด็จการทหาร “ถนอม” ก็ถูกกรรมตามสนองทันตาเห็นเช่นกัน
หลัง 14 ต.ค. 2516 นายกฯ พลเรือน “อ.สัญญา ธรรมศักดิ์” ใช้อำนาจมาตรา 17 สั่งยึดทรัพย์จอมพลถนอม, จอมพลประภาส จารุเสถียร, พ.อ.ณรงค์ และภริยา เป็นเงิน 400 กว่าล้านบาท
นายกฯ เผด็จการทหาร 2 คนมีอำนาจยาวนาน 15 ปี โดนยึดเงินเข้ารัฐแค่ 1 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น!
แต่นายกฯ ที่ซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ายึดอำนาจรัฐ ใช้เวลาแค่ 5 ปี ก็ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้ยึดทรัพย์ถึง 46,373,687,454.70 บาท เอาเงินแค่ที่โดนยึดนี้เฉลี่ยเป็นรายได้ต่อวัน ทักษิณมีรายได้ 1,825 วัน เป็นเงินมากกว่า 25 ล้านบาท/วัน!
นั่นยังไม่รวมเงินที่รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้อีก 100,000 กว่าล้านบาท และเงินซุกอยู่ที่เกาะสิงคโปร์และเกาะฟอกเงินอีกมหาศาล จนคอการเมืองวงในชนิดลึกมากระบุว่า มหาเศรษฐี “เหลี่ยม” ทำเงินจากธุรกิจการเมือง 5 ปี ไม่ต่ำกว่า 4-5 แสนล้านบาท!
“เหลี่ยม” จึงทุ่มเงินลงทุนทางการเมือง เพราะเป็นธุรกิจที่คืนทุนบวกกำไรงามกว่า “ค้ายาเสพติด” แถมโกงแล้วโดนจับผิดได้ ก็ยังใช้ขี้ข้าในสภาฯ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้อีก!
จึงมิใช่เรื่องแปลกที่ “เหลี่ยม” มีเงินมากมาย ทั้งซื้อทั้งจ้าง “เสื้อแดง” เป็นอันธพาลการเมือง จ้าง “ชายชุดดำ” ฆ่าทหาร-ประชาชนเพื่อล้มรัฐบาล “หล่อ” ซื้อตัว ส.ส.และซื้อเสียงประชาชนยึดเสียงข้างมากในสภาฯ ตั้งรัฐบาลปล้นชาติได้ในวันนี้
รัฐบาลเผด็จการทหารและรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา ที่ขี้โกงและบ้าอำนาจล้วนชั่วช้าทั้งคู่ ส่วนเผด็จการแบบไหนชั่วมากกว่ากันนั้น..ท่านผู้อ่านคิดเองนะครับ
ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องทำลายวงจรอุบาทว์ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคนอยู่ดีกินดีเสียที!
คอการเมืองหลายคนฟันธงว่า เผด็จการรัฐสภาชั่วกว่าแน่นอน..เพราะโกงชาติเก่งกว่า!
หลัง “ปรีดี พนมยงค์” กับพวกก่อการรัฐประหารนำการเลือกตั้งแบบตะวันตกมาใช้ในชาติไทย โดยคนไทยยังไม่พร้อมในทุกมิติ ไทยจึงได้รัฐบาลชั่วโกงชาติ ขึ้นปกครองบ้านเมืองโดยส่วนใหญ่ นั่นเป็นช่องทางให้ทหารลากรถถังออกมารัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแบบซ้ำซาก ทว่า..รัฐบาลทหารก็ “ติดกับ” กับการต้องจัดให้มีการ “เลือกตั้ง” สกปรกทุกครั้ง จึงทำให้นายทุนสามานย์และนักการเมืองชั่ว ใช้เงินซื้อเสียงกลับมายึดอำนาจรัฐได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเกิดวงจรอุบาทว์ขึ้นในชาติไทย นั่นคือ นักเลือกตั้งใช้เงิน-การโกง-การหลอกลวง-การเข่นฆ่า บังคับผู้คนให้ลงคะแนนเสียงเลือกพวกตน ให้ได้ ส.ส.เสียงข้างมากเข้ายึดสภาฯ เพื่อตั้งรัฐบาลชั่วโกงชาติที่ไม่รู้จักพอ รวมทั้งสะสมเงินไว้ซื้อเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
เผด็จการรัฐสภาที่ชั่วช้าสามานย์ ได้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้คนในสังคม ทหารจึงฉวยโอกาสทำรัฐประหาร ด้วยข้ออ้างโค่นล้มรัฐบาลเลือกตั้งที่ขี้โกง แล้วยึดอำนาจรัฐมาเป็นของตนและพวกพ้องชั่วคราว
ชาติและคนไทยจึงต้องจมปลักอยู่กับการเมือง “หนีเสือ-ปะจระเข้” หรือ “อัปรีย์ไป-จัญไรมา” เพราะทั้งเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการทหาร มีแต่หลับหูหลับตาโกงชาติลูกเดียว โดยไม่เคยปฏิรูปชาติไทยให้ดีขึ้นแม้แต่น้อยเลย
โดยเฉพาะยุครัฐบาลเครือข่าย “ทักษิณ” ที่โกงชาติกันอย่างมโหฬาร แถมยังมุ่งทำลายสถาบันสูงสุดของชาติอีกด้วย จึงหวาดกลัวจะถูกรัฐประหารซ้ำอีกครั้ง ทำให้ขี้ข้าทั้งนักการเมือง-นักวิชาการ-สื่อมวลชนชั่วๆ ทั้งหลาย ถูกใช้ให้โหมประโคมข่าวว่า..
รัฐบาลที่ (ใช้เงินซื้อเสียง) ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา (โกงชาติ)..กำลังจะโดนรัฐประหารอีกแล้ว!
ต้องรู้นะว่า..ชาติไทยเกิดรัฐประหารที่สำเร็จถึง 13 ครั้ง ครั้งแรกเริ่มต้นวันที่ 24 มิถุนายน 2475 โดย “ปรีดี พนมยงค์” กับ “คณะราษฏร์” ที่ให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แล้วนำระบอบการเลือกแบบตะวันตกมาใช้ ท่ามกลางความไม่พร้อมของคนไทยในทุกมิติ จนเกิดปัญหาวิกฤตการเมืองอันชั่วร้ายในวันนี้
ครั้งล่าสุดวันที่ 19 กันยายน 2549 โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำรัฐประหารล้มรัฐบาล “ทักษิณ” ด้วยข้อหาโกงชาติ-ล้มล้างสถาบันสูงสุด-ทำให้คนไทยแตกแยกฆ่ากันเอง ฯลฯ
64 ปี นับแต่ปี 2489-2553 ไทยจึงเป็นประเทศที่มีการทำรัฐประหารติดอันดับ 4 ของโลก!
ครานี้มาดูซิว่า..รัฐบาลเผด็จการ “ทหาร” กับรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา “เหลี่ยม” ใครโกงเก่งกว่ากัน?
ตอนยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2501 “จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์” มีทรัพย์สินและเงินสดแค่ 10 ล้านบาท แต่ลาโลกในวันที่ 8 ธ.ค. 2506 “สฤษดิ์” มีทรัพย์สิน 2,874 ล้านบาท (ตามที่ทนายความของ “สฤษดิ์” ชมภู อรรถจินดา ยื่นต่อศาล) ช่วง 5 ปีหรือ 1,875 วัน ที่ครองอำนาจนั้น “สฤษดิ์” มีรายได้ 2,864 ล้านบาท เท่ากับ 1.5 ล้านบาท/วัน!
20 พ.ย. 2507 “จอมพลถนอม กิตติขจร” ใช้มาตรา 17 ยึดทรัพย์ “สฤษดิ์” เป็นของแผ่นดิน 604,551,276.62 บาท แต่เผด็จการทหาร “ถนอม” ก็ถูกกรรมตามสนองทันตาเห็นเช่นกัน
หลัง 14 ต.ค. 2516 นายกฯ พลเรือน “อ.สัญญา ธรรมศักดิ์” ใช้อำนาจมาตรา 17 สั่งยึดทรัพย์จอมพลถนอม, จอมพลประภาส จารุเสถียร, พ.อ.ณรงค์ และภริยา เป็นเงิน 400 กว่าล้านบาท
นายกฯ เผด็จการทหาร 2 คนมีอำนาจยาวนาน 15 ปี โดนยึดเงินเข้ารัฐแค่ 1 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น!
แต่นายกฯ ที่ซื้อเสียงเลือกตั้งเข้ายึดอำนาจรัฐ ใช้เวลาแค่ 5 ปี ก็ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาให้ยึดทรัพย์ถึง 46,373,687,454.70 บาท เอาเงินแค่ที่โดนยึดนี้เฉลี่ยเป็นรายได้ต่อวัน ทักษิณมีรายได้ 1,825 วัน เป็นเงินมากกว่า 25 ล้านบาท/วัน!
นั่นยังไม่รวมเงินที่รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้อีก 100,000 กว่าล้านบาท และเงินซุกอยู่ที่เกาะสิงคโปร์และเกาะฟอกเงินอีกมหาศาล จนคอการเมืองวงในชนิดลึกมากระบุว่า มหาเศรษฐี “เหลี่ยม” ทำเงินจากธุรกิจการเมือง 5 ปี ไม่ต่ำกว่า 4-5 แสนล้านบาท!
“เหลี่ยม” จึงทุ่มเงินลงทุนทางการเมือง เพราะเป็นธุรกิจที่คืนทุนบวกกำไรงามกว่า “ค้ายาเสพติด” แถมโกงแล้วโดนจับผิดได้ ก็ยังใช้ขี้ข้าในสภาฯ ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้อีก!
จึงมิใช่เรื่องแปลกที่ “เหลี่ยม” มีเงินมากมาย ทั้งซื้อทั้งจ้าง “เสื้อแดง” เป็นอันธพาลการเมือง จ้าง “ชายชุดดำ” ฆ่าทหาร-ประชาชนเพื่อล้มรัฐบาล “หล่อ” ซื้อตัว ส.ส.และซื้อเสียงประชาชนยึดเสียงข้างมากในสภาฯ ตั้งรัฐบาลปล้นชาติได้ในวันนี้
รัฐบาลเผด็จการทหารและรัฐบาลเผด็จการรัฐสภา ที่ขี้โกงและบ้าอำนาจล้วนชั่วช้าทั้งคู่ ส่วนเผด็จการแบบไหนชั่วมากกว่ากันนั้น..ท่านผู้อ่านคิดเองนะครับ
ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องทำลายวงจรอุบาทว์ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคนอยู่ดีกินดีเสียที!