สัปดาห์นี้ได้ยินมาว่าพรรครัฐบาลจะเดินหน้าประชุมร่วมรัฐสภากันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยวันจันทร์จะเริ่มหลังประชุมวุฒิสภาเวลา 14.00 น.วันเดียว จากนั้นประชุม 10.00 น.ทุกวัน กำหนดเลิกก็จะไม่จำกัดแค่ 22.00 น.เหมือนเดิมที่ยังพอมีความเกรงอกเกรงใจเหลืออยู่บ้าง วันพฤหัสบดีก็จะไม่เว้นให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระกระทู้ถามและญัตติความเดือดร้อนของชาวบ้าน เพราะถือว่าปิดเกมไปตั้งแต่พฤหัสบดีนี้แล้ว
รัฐบาลเสียหน้าเสียเชิงไปมากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเมื่อดิ้นรนประชุมโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน แต่สุดท้ายเมื่อถูกขอนับองค์ประชุม ตัวเองกลับอยู่กันไม่ครบ ขาดไปห้าหกคนจนองค์ประชุมล่ม
ก็เลยต้องเอาคืนโดยการเดินหน้าหักเอาด้วยกำลังตลอดสัปดาห์นี้
การขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่มาของส.ว.จะได้สำเร็จเสียที !
ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ เดิมทีจุดประสงค์แท้ ๆ ของส.ว.เลือกตั้งส่วนหนึ่งรวมทั้งท่านประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน ความประสงค์สูงสุดคือให้ส.ว.เลือกตั้งที่กำลังจะหมดวาระลงในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2550 ห้ามลงสมัครต่อเนื่อง ต้องเว้นวรรคอย่างน้อย 1 สมัย สามารถลงสมัครต่อเนื่องได้ทันที ไม่ต้องเว้นวรรค
ก็อย่างที่ผมพูดแล้วพูดอีกว่าถ้าแก่แค่นี้ก็น่าจะมีปัญหาและข้อครหาแน่นอน
ก็เลยต้องแก้หลักการที่มาของส.ว.ใหม่ ให้มาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว ยกเลิกส.ว.สรรหาที่ถูกเรียกว่าส.ว.ลากตั้งอย่างพวกผม ขยายจำนวนส.ว.เลือกตั้งกลับไปเป็น 200 คนแบบรัฐธรรมนูญ 2540
จะได้อ้างได้เก๋ ๆ ว่าเพื่อความเป็นประชาธิปไตยเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน !
พอในชั้นกรรมาธิการ กลับมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีก 2 ประเด็นสำคัญอันเป็นที่มาที่ผมขนานนามว่าฉบับขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำ
ถ้าเปรียบการแก้ไขให้มีส.ว.เลือกตั้งอย่างเดียวคือการขายเหล้า การพ่วงเบียร์และแถมน้ำในชั้นกรรมาธิการก็คืออย่างนี้ครับ
หนึ่ง – ยกเลิกกฎ 5 ปีบังคับก่อน คือลาออกจากสมาชิกพรรควันนี้พรุ่งนี้ลงสมัครส.ว.ได้เลย
สอง – ฟื้นสภาผัวเมียพ่อแม่ลูก
แต่เดิมคนเป็นส.ส.คนมีตำแหน่งการเมืองหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมีตำแหน่งในพรรคการเมือง ต้องพ้นมาแล้ว 5 ปี จึงจะลงสมัครส.ว.ได้ และคนเป็นส.ว.จะเป็นผัวเมียพี่น้องพ่อแม่ส.ส.ได้ได้ เพื่อแยก 2 สภาให้มีความแตกต่างกัน แต่การแก้ไขในชั้นกรรมาธิการยกเลิกกฎทั้งสองนี้หมด การพิจารณาในวาระที่ 2 ผ่านไปแล้วในมาตรา 5, 6 ที่กระบวนการพิจารณาไม่เปิดโอกาสให้ผู้สงวนคำแปรญัตติได้อภิปรายให้ครบทุกคนทุกกลุ่ม
เป็นการแก้ไขที่แม้แต่ส.ว.เลือกตั้งส่วนใหญ่ที่ร่วมผลักดันมาด้วยกันก็ยังหนาว
เพราะแม้พวกตนจะได้สิทธิลงสมัครต่อเนื่องได้อีก และมีตำแหน่งมากขึ้นในหลายจังหวัด แต่ขี้หรือจะดีกว่าไส้ ถ้าเจอคู่แข่งที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคการเมืองโดยตรง หรือผัวเมียพ่อแม่ส.ส.โดยตรง ก็จะลำบาก
แต่ก็อย่างว่า คงถือคติ “กำขี้ดีกว่ากำตด” อย่างน้อยก็ยังได้ลงสมัครล่ะน่า !
จริง ๆ แล้วขอย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับแก้ไขที่มาของส.ว.นี้ร้ายแรงที่สุด
เพราะเป็นการล้มล้างองค์กรอิสระโดยไม่ต้องล้มล้าง
ทั้งร่างเดิมและร่างขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำเป็นการทำให้วุฒิสภาขึ้นต่อการเมืองและพรรคการเมืองมากขึ้นในทางปฏิบัติ เมื่อวุฒิสภาเป็นที่มาขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การที่วุฒิสภาถูกแปรสภาพไปอยู่ภายใต้การครอบงำของการเมืองและพรรคการเมืองมากขึ้นในทางปฏิบัติ กรรมการองค์กรอิสระคนต่อไปหรือชุดต่อไปในอนาคตจะไปไหนเสีย ไม่ต้องล้มล้างแต่กำหนดตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งได้ แถมยังดูดีกว่าเสียอีก เพราะหลอกลวงได้เนียนกว่า
อย่าลืมว่าตอนนี้กรรมการองค์กรอิสระที่มีมาตั้งแต่ปี 2550 ก็นับถอยหลังกันหมดแล้ว ถ้าไม่ใกล้ครบวาระทั้งชุด ก็อายุใกล้ 70 ครบวาระเฉพาะตัว
นอกจากนั้นยังมีผลพลอยได้อีกคือการถอนถอนผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองก็จะเป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองและพรรคการเมืองต้องการ
การมีตำแหน่งทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาก ๆ ทั้งส.ว.เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะแก้ไขใหม่ ทั้ง กรรมการองค์กรอิสระคนใหม่ชุดใหม่ ยังทำให้พรรคการเมืองที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จผ่านระบอบที่ในทางวิชาการเรียกว่าเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองสามารถจัดสรรคนที่เข้าไปสวามิภักดิ์จนล้นเกินลงในตำแหน่งเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสม
สรุปคือถ้าแก้ได้ตามนี้มีวุฒิสภาไปก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
และประเทศนี้จะถูกบีบรัดกระชับเข้าสู่ระบอบเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองอย่างเกือบ ๆ จะสมบูรณ์แบบและสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะเสียงของวุฒิสภาจะเป็นไปตามความต้องการของพรรคการเมืองที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระคนต่อไปและ/หรือชุดต่อไปก็มีแนวโน้มจะไม่อิสระจริง
ความหมายของวุฒิสภายุคใหม่ถ้าแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จตามนี้ก็คือหลอกลวงประชาชนได้เนียนยิ่งขึ้น เป็น 3 หลอกลวง หรือหลอกลวงกำลังสาม อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ ณ ที่นี้เมือง 2 เดือนก่อน ขอทบทวนวันนี้เมื่อสถานการณ์มาถึงจริงอีกครั้ง
หนึ่ง – หลอกลวงว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์เพราะส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
สอง – หลอกลวงว่ามีสภาสูงหรือสภากลั่นกรอง
สาม – หลอกลวงว่ายังมีองค์กรอิสระอยู่
ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่แพ้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 ด้วยซ้ำ
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจรัฐ
ไม่มีใครเห็นว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้หรอกครับ และก็ไม่มีใครเห็นว่าบทบัญญัติว่าด้วยที่มาของส.ว.ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมันสมบูรณ์พร้อม แก้ไขได้ครับ แต่จะต้องแก้ไขแบบไม่ใช่เอาแต่ได้ เมื่อมีอำนาจมีเสียงข้างมากก็ไม่บันยะบันยังในการใช้อำนาจ รุกไล่ฝ่ายที่คิดต่างเห็นต่างไม่ให้มีที่ยืนในระบบเลย ถือความได้เปรียบจากมายาภาพวาทกรรมประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งมาตำแหน่งให้ผู้สวามิภักดิ์ตนที่ล้นเกิน
จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องมีหลักประกันคงความเป็นสภาตรวจสอบไว้ให้ได้ ซึ่งทีแรกก็ดูเหมือนจะถอยใก้ก้าวสองก้าวในมาตรา 5 แต่สุดท้ายก็ไม่ถอย
ถ้าคุยกันให้ตกผลึกก่อนโดยไม่ชิงความได้เปรียบจากความเป็นผู้ชนะเลือกตั้งครองอำนาจรัฐครองสื่อ ผลที่ออกมาจะไม่เป็นอย่างนี้หรอก
การปรองดองการอยู่ร่วมกันโดยสันติพูดแต่ปากไม่ได้หรอก ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ
แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น
เลือกที่จะเดินหน้าปิดดีลการขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำให้เรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ เพื่อที่สัปดาห์หน้าจะได้เดินหน้าร่างกฎหมายกู้ชาตินี้ใช้ชาติหน้า 2 ล้านล้านบาทต่อไปทันที
รัฐบาลเสียหน้าเสียเชิงไปมากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเมื่อดิ้นรนประชุมโดยไม่ฟังเสียงทัดทาน แต่สุดท้ายเมื่อถูกขอนับองค์ประชุม ตัวเองกลับอยู่กันไม่ครบ ขาดไปห้าหกคนจนองค์ประชุมล่ม
ก็เลยต้องเอาคืนโดยการเดินหน้าหักเอาด้วยกำลังตลอดสัปดาห์นี้
การขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่มาของส.ว.จะได้สำเร็จเสียที !
ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ เดิมทีจุดประสงค์แท้ ๆ ของส.ว.เลือกตั้งส่วนหนึ่งรวมทั้งท่านประธานวุฒิสภาคนปัจจุบัน ความประสงค์สูงสุดคือให้ส.ว.เลือกตั้งที่กำลังจะหมดวาระลงในวันที่ 2 มีนาคม 2557 และต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2550 ห้ามลงสมัครต่อเนื่อง ต้องเว้นวรรคอย่างน้อย 1 สมัย สามารถลงสมัครต่อเนื่องได้ทันที ไม่ต้องเว้นวรรค
ก็อย่างที่ผมพูดแล้วพูดอีกว่าถ้าแก่แค่นี้ก็น่าจะมีปัญหาและข้อครหาแน่นอน
ก็เลยต้องแก้หลักการที่มาของส.ว.ใหม่ ให้มาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว ยกเลิกส.ว.สรรหาที่ถูกเรียกว่าส.ว.ลากตั้งอย่างพวกผม ขยายจำนวนส.ว.เลือกตั้งกลับไปเป็น 200 คนแบบรัฐธรรมนูญ 2540
จะได้อ้างได้เก๋ ๆ ว่าเพื่อความเป็นประชาธิปไตยเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน !
พอในชั้นกรรมาธิการ กลับมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีก 2 ประเด็นสำคัญอันเป็นที่มาที่ผมขนานนามว่าฉบับขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำ
ถ้าเปรียบการแก้ไขให้มีส.ว.เลือกตั้งอย่างเดียวคือการขายเหล้า การพ่วงเบียร์และแถมน้ำในชั้นกรรมาธิการก็คืออย่างนี้ครับ
หนึ่ง – ยกเลิกกฎ 5 ปีบังคับก่อน คือลาออกจากสมาชิกพรรควันนี้พรุ่งนี้ลงสมัครส.ว.ได้เลย
สอง – ฟื้นสภาผัวเมียพ่อแม่ลูก
แต่เดิมคนเป็นส.ส.คนมีตำแหน่งการเมืองหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองมีตำแหน่งในพรรคการเมือง ต้องพ้นมาแล้ว 5 ปี จึงจะลงสมัครส.ว.ได้ และคนเป็นส.ว.จะเป็นผัวเมียพี่น้องพ่อแม่ส.ส.ได้ได้ เพื่อแยก 2 สภาให้มีความแตกต่างกัน แต่การแก้ไขในชั้นกรรมาธิการยกเลิกกฎทั้งสองนี้หมด การพิจารณาในวาระที่ 2 ผ่านไปแล้วในมาตรา 5, 6 ที่กระบวนการพิจารณาไม่เปิดโอกาสให้ผู้สงวนคำแปรญัตติได้อภิปรายให้ครบทุกคนทุกกลุ่ม
เป็นการแก้ไขที่แม้แต่ส.ว.เลือกตั้งส่วนใหญ่ที่ร่วมผลักดันมาด้วยกันก็ยังหนาว
เพราะแม้พวกตนจะได้สิทธิลงสมัครต่อเนื่องได้อีก และมีตำแหน่งมากขึ้นในหลายจังหวัด แต่ขี้หรือจะดีกว่าไส้ ถ้าเจอคู่แข่งที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพรรคการเมืองโดยตรง หรือผัวเมียพ่อแม่ส.ส.โดยตรง ก็จะลำบาก
แต่ก็อย่างว่า คงถือคติ “กำขี้ดีกว่ากำตด” อย่างน้อยก็ยังได้ลงสมัครล่ะน่า !
จริง ๆ แล้วขอย้ำว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับแก้ไขที่มาของส.ว.นี้ร้ายแรงที่สุด
เพราะเป็นการล้มล้างองค์กรอิสระโดยไม่ต้องล้มล้าง
ทั้งร่างเดิมและร่างขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำเป็นการทำให้วุฒิสภาขึ้นต่อการเมืองและพรรคการเมืองมากขึ้นในทางปฏิบัติ เมื่อวุฒิสภาเป็นที่มาขององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การที่วุฒิสภาถูกแปรสภาพไปอยู่ภายใต้การครอบงำของการเมืองและพรรคการเมืองมากขึ้นในทางปฏิบัติ กรรมการองค์กรอิสระคนต่อไปหรือชุดต่อไปในอนาคตจะไปไหนเสีย ไม่ต้องล้มล้างแต่กำหนดตัวบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งได้ แถมยังดูดีกว่าเสียอีก เพราะหลอกลวงได้เนียนกว่า
อย่าลืมว่าตอนนี้กรรมการองค์กรอิสระที่มีมาตั้งแต่ปี 2550 ก็นับถอยหลังกันหมดแล้ว ถ้าไม่ใกล้ครบวาระทั้งชุด ก็อายุใกล้ 70 ครบวาระเฉพาะตัว
นอกจากนั้นยังมีผลพลอยได้อีกคือการถอนถอนผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองก็จะเป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองและพรรคการเมืองต้องการ
การมีตำแหน่งทางการเมืองเพิ่มขึ้นมาก ๆ ทั้งส.ว.เลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะแก้ไขใหม่ ทั้ง กรรมการองค์กรอิสระคนใหม่ชุดใหม่ ยังทำให้พรรคการเมืองที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จผ่านระบอบที่ในทางวิชาการเรียกว่าเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองสามารถจัดสรรคนที่เข้าไปสวามิภักดิ์จนล้นเกินลงในตำแหน่งเหล่านี้ได้ตามความเหมาะสม
สรุปคือถ้าแก้ได้ตามนี้มีวุฒิสภาไปก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
และประเทศนี้จะถูกบีบรัดกระชับเข้าสู่ระบอบเผด็จการรัฐสภาของนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองอย่างเกือบ ๆ จะสมบูรณ์แบบและสุดลิ่มทิ่มประตูอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะเสียงของวุฒิสภาจะเป็นไปตามความต้องการของพรรคการเมืองที่ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระคนต่อไปและ/หรือชุดต่อไปก็มีแนวโน้มจะไม่อิสระจริง
ความหมายของวุฒิสภายุคใหม่ถ้าแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จตามนี้ก็คือหลอกลวงประชาชนได้เนียนยิ่งขึ้น เป็น 3 หลอกลวง หรือหลอกลวงกำลังสาม อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ ณ ที่นี้เมือง 2 เดือนก่อน ขอทบทวนวันนี้เมื่อสถานการณ์มาถึงจริงอีกครั้ง
หนึ่ง – หลอกลวงว่าเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์เพราะส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
สอง – หลอกลวงว่ามีสภาสูงหรือสภากลั่นกรอง
สาม – หลอกลวงว่ายังมีองค์กรอิสระอยู่
ถือว่าหนักหนาสาหัสไม่แพ้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 ด้วยซ้ำ
เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจรัฐ
ไม่มีใครเห็นว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขไม่ได้หรอกครับ และก็ไม่มีใครเห็นว่าบทบัญญัติว่าด้วยที่มาของส.ว.ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมันสมบูรณ์พร้อม แก้ไขได้ครับ แต่จะต้องแก้ไขแบบไม่ใช่เอาแต่ได้ เมื่อมีอำนาจมีเสียงข้างมากก็ไม่บันยะบันยังในการใช้อำนาจ รุกไล่ฝ่ายที่คิดต่างเห็นต่างไม่ให้มีที่ยืนในระบบเลย ถือความได้เปรียบจากมายาภาพวาทกรรมประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งมาตำแหน่งให้ผู้สวามิภักดิ์ตนที่ล้นเกิน
จะให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ได้ แต่ต้องมีหลักประกันคงความเป็นสภาตรวจสอบไว้ให้ได้ ซึ่งทีแรกก็ดูเหมือนจะถอยใก้ก้าวสองก้าวในมาตรา 5 แต่สุดท้ายก็ไม่ถอย
ถ้าคุยกันให้ตกผลึกก่อนโดยไม่ชิงความได้เปรียบจากความเป็นผู้ชนะเลือกตั้งครองอำนาจรัฐครองสื่อ ผลที่ออกมาจะไม่เป็นอย่างนี้หรอก
การปรองดองการอยู่ร่วมกันโดยสันติพูดแต่ปากไม่ได้หรอก ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ
แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น
เลือกที่จะเดินหน้าปิดดีลการขายเหล้าพ่วงเบียร์แถมน้ำให้เรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ เพื่อที่สัปดาห์หน้าจะได้เดินหน้าร่างกฎหมายกู้ชาตินี้ใช้ชาติหน้า 2 ล้านล้านบาทต่อไปทันที