ASTV ผู้จัดการรายวัน-อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง “ไอ้บอล” พร้อมพวกรวม 6 คน คดีร่วมกันปล้นฆ่า “เอกยุทธ” ใน 8 ข้อหาฉกรรจ์ พร้อมคัดค้านประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง เกรงจำเลยหลบหนี ศาลนัดสอบคำให้การจำเลยวันนี้
วานนี้ (4 ก.ย.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา แถลงความคืบหน้า คดีนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล ผู้ต้องหาร่วมกันอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคนตามความเห็นของพนักงานสอบสวน โดยสั่งฟ้องนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล , นายสุทธิพงษ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม , นายชวลิต วุ่นชุม หรือเชาว์ และนายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว ผู้ต้องหาที่ 1-4 ฐานทำความผิดใน 8 ข้อหา
โดยทั้ง 8 ข้อหา ได้แก่ 1.ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 3.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด และให้ทำเอกสารสิทธิ์โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธจนผู้อื่นถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการ ไม่การทำการ จำยอมต่อสิ่งนั้น และทำลายเอกสารสิทธิ์ 4.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นถึงแก่ความตาย 5.ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย
6.ร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร 7.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ผู้อื่นมีและใช้ไว้ในความครอบครองโดยไมได้รับอนุญาต และ8 ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแห่งพฤติการณ์ที่ต้องติดตัวไปในเมือง และไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199, 289 (4)(7), 309, 310, 340, 340ตรี, 371, 83, 91 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2556 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2541 ข้อ 14, 15 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8ทวิ, 72, 72ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ต.ค. พ.ศ. 2519 ข้อ 3, 6, 7 และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,941,970 บาทแก่ผู้เสียหาย
นอกจากนี้ อัยการยังได้สั่งฟ้อง จ.ต.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง และนางจิตอำไพ เพ็งด้วง บิดา-มารดานายสันติภาพ จำเลยที่ 5-6 ฐานร่วมกันรับของโจร (ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือชิงทรัพย์) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง
ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ กล่าวว่า อัยการได้สั่งฟ้องตามข้อเท็จจริงในสำนวน ตามที่พนักงานสอบสวนส่งให้อัยการพิจารณา จากพฤติการณ์และคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ประกอบกับพยานแวดล้อมอื่นที่เชื่อมโยงกันปรากฏเพียงเท่านี้ ไม่มีเบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งสิ้น ส่วนที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ อดีตทนายความนายเอกยุทธได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้จ้างวานอยู่เบื้องหลังนั้น ไม่มีปรากฏอยู่ในสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมา ในสำนวนจึงมีแต่ประเด็นปล้นฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น หากต่อไปในอนาคตพนักงานสอบสวนมีหลักฐานใหม่ ที่จะฟ้องจำเลยในฐานความผิดอื่นด้วย ก็สามารถนำมาพิจารณาฟ้องเป็นสำนวนใหม่ได้
สำหรับหนังสือของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่เป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับสภาพศพว่า ไม่ใช่การประสงค์ต่อทรัพย์ และได้ยื่นถึงนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดก่อนหน้านี้ จากการพิจารณาเห็นว่าเป็นเพียงหลักฐานนอกสำนวน ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคดี แต่ทางอัยการจะนำหนังสือของคณะกรรมการสิทธิฯ ส่งไปให้พนักงานสอบสวน เพื่อพิจารณาดูว่ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเพื่อสั่งฟ้องในคดีอื่นอีกหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายสันติภาพจะกลับคำให้การหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ที่จำเลยที่สามารถจะให้การอย่างใดก็ได้ ซึ่งศาลจะพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นหลัก ซึ่งหากอยู่นอกเหนือสำนวนก็จะไม่นำมาพิจารณา ทางด้านฮาร์ดดิสที่สูญหายไป ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในคดีใหญ่
"คดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนามีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และคดีปล้นทรัพย์ก็มีโทษจำคุกสูง ซึ่งคดีนี้ อัยการได้เตรียมพยานบุคคลนำสืบจำนวน 70 ปาก ประกอบกับพยานเอกสารและภาพถ่ายต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งจะสามารถลงโทษจำเลยทั้งหมดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล โดยนายสันติภาพให้การรับสารภาพในทุกข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยอื่นๆ ก็รับสารภาพและให้การภาคเสธบ้าง อย่างไรก็ตาม ทางอัยการได้ทำหนังสือแจ้งไปทางญาติผู้เสียหายแล้ว เพื่อให้รับทราบหากต้องการเข้าเป็นโจทก์ร่วมในการเรียกร้องค่าเสียหาย และทางอัยการได้ค้านประกันตัวจำเลยที่ 1-4 ด้วย"
ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น .ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายศุภชัย คงประพันธ์ พนักกงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล อายุ 23 ปี ,นายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม อายุ 28 ปี ,นายชวลิต วุ่นชุม หรือเชาว์ อายุ 23 ปี ,นายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว อายุ 18 ปีเศษ , จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 51 ปี และ นางจิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 48 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์, ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199 ,289,309,310 ,340,357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2492 รวม 8 ข้อหา
โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย.2556 จำเลยที่ 1-4 ซึ่งมีอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด .38 ยี่ห้อวอเตอร์ สมิธ แอนด์ เวสสัน และมีดไปบริเวณ ซ.ทาว์อินทาวน์ 21 ถ.ศรีวรา แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. แล้วร่วมกันปล้นทรัพย์จากนายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี อดีตนักธุรกิจ ด้านการเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ผู้ตาย โดยลักเอาทรัพย์สินรวม 9 รายการ อาทิ เงินสด นาฬิกา สร้อยทองคำ พร้อมพระเลี่ยมทอง แหวนโทรศัพท์มือ และอื่นๆ รวมมูลค่า 6.6 ล้านบาท และจำเลยยังร่วมกันใช้อาวุธจี้บังคับ ข่มขู่ผู้ตาย จนเกิดความกลัว แล้วจำเลยใส่กุญแจมือ พาขึ้นรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9340 กรุงเทพ ตระเวนไปที่บ้านพักผู้ตาย 2 แห่งย่านทาวน์อินทาวน์ และย่านลาดกระบัง ยังทำกล้องวงจรปิดเสียหาย ก่อนที่พวกจำเลยจะบังคับผู้ตายออกเช็คเบิกเงินสด จำนวน 5 ล้านบาท ไปโดยทุจริต จากนั้นใช้กำลังกอดรัดผู้ตาย ด้วยการใช้ท่อนแขน บีบกดบริเวณลำคออย่างรุนแรง และอุดปากและจมูก ก่อนใช้เชือกรองเท้ารัดคอผู้ตายจนขาดอากาศหายใจ
การกระทำของจำเลยที่ 1-4 มีเจตนาเพื่อฆ่าผู้ตาย โดยวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อน และให้เพื่อสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ หลังก่อเหตุ พวกจำเลยได้ร่วมกันนำศพผู้ตายไปฝังที่คันดิน ไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง ที่ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดา มารดา จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันลักของโจร เป็นเงินสดจำนวน 4,242,000 บาท ของผู้ตายที่ถูกปล้นไป กระทั่งวันที่ 12 มิ.ย.2556 เจ้าพนักงานได้จับกุมจำเลยที่ 1,3และ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 5- 6 เข้าพบพนักงานสอบสวน โดยได้ทรัพย์สินของผู้ตายคืนมาได้จำนวน 4,658,030 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 จับกุมได้เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2556
ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-2 รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยที่ 3 สารภาพเฉพาะ ข้อหาเคลื่อนย้ายศพ และร่วมกันมีอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับจำเลยที่ 4 สารภาพเฉพาะข้อหาเคลื่อนย้ายศพ โดยจำเลยที่ 5,6 ให้การปฏิเสธ ข้อหารับของโจร
ท้ายฟ้องอัยการโจทก์ ขอคัดค้าฯการประกันจำเลยที่ 1-4 เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี และขอให้ศาลมีคำสั่งริบของกลาง อาทิ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ,เชือกผูกรองเท้า จอบขุดดิน 2 เล่ม และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนหรือใช้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 6 รายการเป็นเงิน 1,941,970 บาท แก่ทายาทของผู้ตายด้วย
ทั้งนี้ ศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ. 3307/2556 และนัดสอบคำให้การจำเลยวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
วานนี้ (4 ก.ย.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา แถลงความคืบหน้า คดีนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล ผู้ต้องหาร่วมกันอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดังว่า อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคนตามความเห็นของพนักงานสอบสวน โดยสั่งฟ้องนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล , นายสุทธิพงษ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม , นายชวลิต วุ่นชุม หรือเชาว์ และนายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว ผู้ต้องหาที่ 1-4 ฐานทำความผิดใน 8 ข้อหา
โดยทั้ง 8 ข้อหา ได้แก่ 1.ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 3.ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด และให้ทำเอกสารสิทธิ์โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธจนผู้อื่นถูกข่มขืนใจ ต้องกระทำการ ไม่การทำการ จำยอมต่อสิ่งนั้น และทำลายเอกสารสิทธิ์ 4.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นนั้นถึงแก่ความตาย 5.ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้าย หรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย หรือเหตุแห่งการตาย
6.ร่วมกันพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร 7.ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ผู้อื่นมีและใช้ไว้ในความครอบครองโดยไมได้รับอนุญาต และ8 ร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแห่งพฤติการณ์ที่ต้องติดตัวไปในเมือง และไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199, 289 (4)(7), 309, 310, 340, 340ตรี, 371, 83, 91 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2556 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พ.ย. 2541 ข้อ 14, 15 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8ทวิ, 72, 72ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ต.ค. พ.ศ. 2519 ข้อ 3, 6, 7 และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,941,970 บาทแก่ผู้เสียหาย
นอกจากนี้ อัยการยังได้สั่งฟ้อง จ.ต.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง และนางจิตอำไพ เพ็งด้วง บิดา-มารดานายสันติภาพ จำเลยที่ 5-6 ฐานร่วมกันรับของโจร (ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์หรือชิงทรัพย์) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง
ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ กล่าวว่า อัยการได้สั่งฟ้องตามข้อเท็จจริงในสำนวน ตามที่พนักงานสอบสวนส่งให้อัยการพิจารณา จากพฤติการณ์และคำรับสารภาพของผู้ต้องหา ประกอบกับพยานแวดล้อมอื่นที่เชื่อมโยงกันปรากฏเพียงเท่านี้ ไม่มีเบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งสิ้น ส่วนที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ อดีตทนายความนายเอกยุทธได้ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้จ้างวานอยู่เบื้องหลังนั้น ไม่มีปรากฏอยู่ในสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมา ในสำนวนจึงมีแต่ประเด็นปล้นฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น หากต่อไปในอนาคตพนักงานสอบสวนมีหลักฐานใหม่ ที่จะฟ้องจำเลยในฐานความผิดอื่นด้วย ก็สามารถนำมาพิจารณาฟ้องเป็นสำนวนใหม่ได้
สำหรับหนังสือของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ที่เป็นข้อสงสัยเกี่ยวกับสภาพศพว่า ไม่ใช่การประสงค์ต่อทรัพย์ และได้ยื่นถึงนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุดก่อนหน้านี้ จากการพิจารณาเห็นว่าเป็นเพียงหลักฐานนอกสำนวน ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคดี แต่ทางอัยการจะนำหนังสือของคณะกรรมการสิทธิฯ ส่งไปให้พนักงานสอบสวน เพื่อพิจารณาดูว่ามีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมเพื่อสั่งฟ้องในคดีอื่นอีกหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายสันติภาพจะกลับคำให้การหรือไม่นั้น เป็นสิทธิ์ที่จำเลยที่สามารถจะให้การอย่างใดก็ได้ ซึ่งศาลจะพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนเป็นหลัก ซึ่งหากอยู่นอกเหนือสำนวนก็จะไม่นำมาพิจารณา ทางด้านฮาร์ดดิสที่สูญหายไป ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมในคดีใหญ่
"คดีฆ่าผู้อื่นโดยเจตนามีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต และคดีปล้นทรัพย์ก็มีโทษจำคุกสูง ซึ่งคดีนี้ อัยการได้เตรียมพยานบุคคลนำสืบจำนวน 70 ปาก ประกอบกับพยานเอกสารและภาพถ่ายต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งจะสามารถลงโทษจำเลยทั้งหมดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล โดยนายสันติภาพให้การรับสารภาพในทุกข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยอื่นๆ ก็รับสารภาพและให้การภาคเสธบ้าง อย่างไรก็ตาม ทางอัยการได้ทำหนังสือแจ้งไปทางญาติผู้เสียหายแล้ว เพื่อให้รับทราบหากต้องการเข้าเป็นโจทก์ร่วมในการเรียกร้องค่าเสียหาย และทางอัยการได้ค้านประกันตัวจำเลยที่ 1-4 ด้วย"
ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น .ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายศุภชัย คงประพันธ์ พนักกงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล อายุ 23 ปี ,นายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม อายุ 28 ปี ,นายชวลิต วุ่นชุม หรือเชาว์ อายุ 23 ปี ,นายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว อายุ 18 ปีเศษ , จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 51 ปี และ นางจิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 48 ปี ทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง ร่วมกันเป็นจำเลย ในความผิดฐาน ร่วมกันปล้นทรัพย์, ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199 ,289,309,310 ,340,357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2492 รวม 8 ข้อหา
โดยอัยการโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย.2556 จำเลยที่ 1-4 ซึ่งมีอาวุธปืนออโตเมติก ขนาด .38 ยี่ห้อวอเตอร์ สมิธ แอนด์ เวสสัน และมีดไปบริเวณ ซ.ทาว์อินทาวน์ 21 ถ.ศรีวรา แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. แล้วร่วมกันปล้นทรัพย์จากนายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี อดีตนักธุรกิจ ด้านการเงิน และอสังหาริมทรัพย์ ผู้ตาย โดยลักเอาทรัพย์สินรวม 9 รายการ อาทิ เงินสด นาฬิกา สร้อยทองคำ พร้อมพระเลี่ยมทอง แหวนโทรศัพท์มือ และอื่นๆ รวมมูลค่า 6.6 ล้านบาท และจำเลยยังร่วมกันใช้อาวุธจี้บังคับ ข่มขู่ผู้ตาย จนเกิดความกลัว แล้วจำเลยใส่กุญแจมือ พาขึ้นรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9340 กรุงเทพ ตระเวนไปที่บ้านพักผู้ตาย 2 แห่งย่านทาวน์อินทาวน์ และย่านลาดกระบัง ยังทำกล้องวงจรปิดเสียหาย ก่อนที่พวกจำเลยจะบังคับผู้ตายออกเช็คเบิกเงินสด จำนวน 5 ล้านบาท ไปโดยทุจริต จากนั้นใช้กำลังกอดรัดผู้ตาย ด้วยการใช้ท่อนแขน บีบกดบริเวณลำคออย่างรุนแรง และอุดปากและจมูก ก่อนใช้เชือกรองเท้ารัดคอผู้ตายจนขาดอากาศหายใจ
การกระทำของจำเลยที่ 1-4 มีเจตนาเพื่อฆ่าผู้ตาย โดยวางแผนไตร่ตรองไว้ก่อน และให้เพื่อสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ หลังก่อเหตุ พวกจำเลยได้ร่วมกันนำศพผู้ตายไปฝังที่คันดิน ไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง ที่ต.ชัยบุรี อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดา มารดา จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันลักของโจร เป็นเงินสดจำนวน 4,242,000 บาท ของผู้ตายที่ถูกปล้นไป กระทั่งวันที่ 12 มิ.ย.2556 เจ้าพนักงานได้จับกุมจำเลยที่ 1,3และ 4 ได้ ส่วนจำเลยที่ 5- 6 เข้าพบพนักงานสอบสวน โดยได้ทรัพย์สินของผู้ตายคืนมาได้จำนวน 4,658,030 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 จับกุมได้เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2556
ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1-2 รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนจำเลยที่ 3 สารภาพเฉพาะ ข้อหาเคลื่อนย้ายศพ และร่วมกันมีอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับจำเลยที่ 4 สารภาพเฉพาะข้อหาเคลื่อนย้ายศพ โดยจำเลยที่ 5,6 ให้การปฏิเสธ ข้อหารับของโจร
ท้ายฟ้องอัยการโจทก์ ขอคัดค้าฯการประกันจำเลยที่ 1-4 เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี และขอให้ศาลมีคำสั่งริบของกลาง อาทิ โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ,เชือกผูกรองเท้า จอบขุดดิน 2 เล่ม และให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันคืนหรือใช้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 6 รายการเป็นเงิน 1,941,970 บาท แก่ทายาทของผู้ตายด้วย
ทั้งนี้ ศาลได้ประทับรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำ อ. 3307/2556 และนัดสอบคำให้การจำเลยวันที่ 5 ก.ย.นี้ เวลา 09.00 น.