สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือเรียกสั้นๆว่า สภาพัฒน์ได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้เป็นรอบที่สอง โดยล่าสุดคาดการณ์ว่า จีดีพีจะโตระหว่าง 3.8-4.3% และมีผลทำให้ตลาดหุ้นตกรูดลงทันที
ประมาณการจีดีพีที่หดตัวลง ถูกอธิบายว่า เป็นเพียงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ยังไม่ได้เกิดการถดถอย แต่ไม่ว่าจะตั้งคำจำกัดความอย่างไร สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่และมีความน่าเป็นห่วง
สภาพัฒน์ถือเป็นหน่วยงานที่มีมุมมองในเชิงอนุรักษ์ ตัวเลขจีดีพีที่คาดการณ์ออกมา อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีด้วยซ้ำ โดยตัวเลขจีดีพีที่เป็นจริงปีนี้ อาจต่ำกว่า เพราะครึ่งปีแรกขยายตัวเพียง 4.1% ส่วนครึ่งปีหลัง แนวโน้มเศรษฐกิจทรุดลง อัตราการขยายตัวย่อมต่ำกว่า
แม้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาประกาศว่า จีดีพีไตรมาสที่ 3 และ 4 จะขยายตัวสูง แต่ใครล่ะจะเชื่อ เพราะนายกิตติรัตน์เข้ามาดูแลเศรษฐกิจกว่า 2 ปี แต่ไม่เคยแสดงฝีมือให้เห็นว่า ได้ช่วยทำอะไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น
และสภาพความซบเซาทางเศรษฐกิจขณะนี้ ประชาชนทุกภาคส่วนก็สามารถสัมผัสได้ รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ธุรกิจกำลังฝืดเคืองอย่างหนัก เพราะกำลังซื้อตกต่ำ โดยเชื่อกันว่า ครึ่งปีหลังสถานการณ์จะหนักขึ้น
ตัวช่วยสุดท้ายของรัฐบาลเหลือเพียง พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ในสภาฯ ซึ่งหากไม่ผ่านหรือต้องชะลอออกไป ระบบเศรษฐกิจจะล่มภายในเวลาสั้นมาก
รัฐบาลตั้งความหวังสูง พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพราะถ้าไม่ผ่าน ระบบเศรษฐกิจเกิดความปั่นป่วนแน่ และนายกิตติรัตน์ไม่มีวันรับมืออยู่
แต่ถ้ากู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทได้ จะมีเงินก้อนโตขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นชุดๆ
เงินกู้ 2.2 ล้านบาท มีผลต่อชะตากรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างสูง นักธุรกิจและนักวิชาการต่างก็รู้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังกังวลกับการทุ่มเงินมหาศาลไปในคราวเดียว เพียงเพื่อให้เกิดภาพเศรฐกิจฟื้นตัวในระยะสั้น โดยไม่ได้วางรากการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังกังวลกับการทุจริตจากเงินที่จะกู้มาแก้วิกฤต และยิ่งทำใจไม่ได้กับการผลาญงบประมาณ ไม่ว่าการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของรัฐบาลหรือแม้แต่สภาผู้แทนราษฎร
หนี้ที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่อีก 2.2 ล้านล้านบาท แม้จะถูกนำมาใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพทุกบาททุกสตางค์ ก็ยังต้องชั่งน้ำหนักว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม
เพราะโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลตั้งเป้าจะลงทุน ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนจะเกิดขึ้นระยะยาว ขณะที่หนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นถึงระดับที่มีความเสี่ยง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรจะก่อหนี้เพิ่มหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่เถียงกันไม่จบ
ยิ่งมีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริต กระแสต่อต้าน พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท จึงลุกลามทั้งในและนอกสภาฯ ใครจะยอมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดยปล่อยให้นักการเมืองรุมสวาปามเงินกู้
ใครจะไม่มีความรู้สึกเลยหรือ เมื่อประชาชนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาค่าครองชีพ ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กลับเสวยสุขกับเงินของประชาชน ผลาญงบเดินทางไปต่างประเทศครั้งละหลายล้านบาทเป็นว่าเล่น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักแต่อย่างใด
และใครจะคิดบ้างหรือว่า ขณะที่ประกาศกำลังตกอยู่ในภาวะจนกรอบ ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย แต่รัฐสภากลับใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ ซื้อโต๊ะเก้าอี้หลุยส์ราคาชุดละหลายแสนบ้าน เครื่องทำน้ำเย็นน้ำอุ่นเครื่องละ 8 หมื่นบาท นาฬิกาเรือนละ 75,000 บาทหลายร้อยเรือน และงบจัดซื้อจัดจ้างสุรุ่ยสุร่ายอีกหลายรายการ
ประเทศกำลังจนกรอบ แต่มันยังโกงกันอย่างไม่ละอายเลยสักนิด จะสนับสนุนให้กู้มาโกงกันได้อย่างไร
จีดีพีที่กำลังถูกสำนักวิจัยต่างๆ ปรับลดลง รวมทั้งธนาคารโลกด้วย สะท้อนชัดว่า เศรษฐกิจเกิดอาการทรุดตัว และมีแนวโน้มว่า ครึ่งปีหลังจะทรุดหนัก จนกลายเป็นวิกฤตได้
ถ้า พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท สะดุดหรือชะลอจะเกิดวิกฤตในพริบตา จะเกิดผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า และรัฐบาลยิ่งลักษณ์คงรับมือกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนไม่อยู่
เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท อาจช่วยต่ออายุรัฐบาลไปได้อีกระยะ พร้อมกับนักการเมืองอีกนับร้อยที่จะยกระดับเป็นเศรษฐีใหม่ จากการปล้นเงินงบประมาณในโครงการลงทุน จึงออกแรงผลักดันกันสุดตัว
ความเป็นความตายของประเทศ ถูกนำผูกโยงไว้กับการกู้เงิน ซึ่งหากกู้ไม่ได้ ดูเหมือนจะไปไม่รอด เพราะดูเหมือนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะหมดปัญญาหาทางออกอื่นแล้ว
ประเทศถูกนำไปเป็นตัวประกัน เพื่อเดิมพันเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท บางทีประชาชน ก็อาจต้องเดิมพันตัวเองกับชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
รู้กันอยู่ว่า ถ้ากู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทไม่ได้ เศรษฐกิจพังแน่ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าแน่ แต่รัฐบาลก็พังเหมือนกัน
ไหนก็จะตายกันแล้ว ยอมพลีชีพตายพร้อมกับรัฐบาลเพื่อไทยกันดีกว่า เพราะทุกวันนี้ตายกันอย่างช้าอยู่แล้ว
ประเทศกำลังจะล่มจม แต่ “ยิ่งลักษณ์” และนักการเมืองลูกสมุนกลับผลาญเงินกันอย่างสบายใจเฉิบ ทนกันได้หรือ
ประมาณการจีดีพีที่หดตัวลง ถูกอธิบายว่า เป็นเพียงภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ยังไม่ได้เกิดการถดถอย แต่ไม่ว่าจะตั้งคำจำกัดความอย่างไร สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ เศรษฐกิจกำลังย่ำแย่และมีความน่าเป็นห่วง
สภาพัฒน์ถือเป็นหน่วยงานที่มีมุมมองในเชิงอนุรักษ์ ตัวเลขจีดีพีที่คาดการณ์ออกมา อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีด้วยซ้ำ โดยตัวเลขจีดีพีที่เป็นจริงปีนี้ อาจต่ำกว่า เพราะครึ่งปีแรกขยายตัวเพียง 4.1% ส่วนครึ่งปีหลัง แนวโน้มเศรษฐกิจทรุดลง อัตราการขยายตัวย่อมต่ำกว่า
แม้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะออกมาประกาศว่า จีดีพีไตรมาสที่ 3 และ 4 จะขยายตัวสูง แต่ใครล่ะจะเชื่อ เพราะนายกิตติรัตน์เข้ามาดูแลเศรษฐกิจกว่า 2 ปี แต่ไม่เคยแสดงฝีมือให้เห็นว่า ได้ช่วยทำอะไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น
และสภาพความซบเซาทางเศรษฐกิจขณะนี้ ประชาชนทุกภาคส่วนก็สามารถสัมผัสได้ รับรู้กันโดยทั่วไปว่า ธุรกิจกำลังฝืดเคืองอย่างหนัก เพราะกำลังซื้อตกต่ำ โดยเชื่อกันว่า ครึ่งปีหลังสถานการณ์จะหนักขึ้น
ตัวช่วยสุดท้ายของรัฐบาลเหลือเพียง พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังเป็นลูกผีลูกคนอยู่ในสภาฯ ซึ่งหากไม่ผ่านหรือต้องชะลอออกไป ระบบเศรษฐกิจจะล่มภายในเวลาสั้นมาก
รัฐบาลตั้งความหวังสูง พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท เพราะถ้าไม่ผ่าน ระบบเศรษฐกิจเกิดความปั่นป่วนแน่ และนายกิตติรัตน์ไม่มีวันรับมืออยู่
แต่ถ้ากู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทได้ จะมีเงินก้อนโตขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐ จะผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นชุดๆ
เงินกู้ 2.2 ล้านบาท มีผลต่อชะตากรรมทางเศรษฐกิจของประเทศและรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างสูง นักธุรกิจและนักวิชาการต่างก็รู้ถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังกังวลกับการทุ่มเงินมหาศาลไปในคราวเดียว เพียงเพื่อให้เกิดภาพเศรฐกิจฟื้นตัวในระยะสั้น โดยไม่ได้วางรากการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังกังวลกับการทุจริตจากเงินที่จะกู้มาแก้วิกฤต และยิ่งทำใจไม่ได้กับการผลาญงบประมาณ ไม่ว่าการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของรัฐบาลหรือแม้แต่สภาผู้แทนราษฎร
หนี้ที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่อีก 2.2 ล้านล้านบาท แม้จะถูกนำมาใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพทุกบาททุกสตางค์ ก็ยังต้องชั่งน้ำหนักว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม
เพราะโครงการขนาดใหญ่ที่รัฐบาลตั้งเป้าจะลงทุน ต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนจะเกิดขึ้นระยะยาว ขณะที่หนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นถึงระดับที่มีความเสี่ยง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ควรจะก่อหนี้เพิ่มหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่เถียงกันไม่จบ
ยิ่งมีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการทุจริต กระแสต่อต้าน พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท จึงลุกลามทั้งในและนอกสภาฯ ใครจะยอมให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก่อหนี้ไว้ให้ลูกหลาน โดยปล่อยให้นักการเมืองรุมสวาปามเงินกู้
ใครจะไม่มีความรู้สึกเลยหรือ เมื่อประชาชนกำลังดิ้นรนต่อสู้กับปัญหาค่าครองชีพ ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดไปวันๆ แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กลับเสวยสุขกับเงินของประชาชน ผลาญงบเดินทางไปต่างประเทศครั้งละหลายล้านบาทเป็นว่าเล่น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเศรษฐกิจที่กำลังทรุดหนักแต่อย่างใด
และใครจะคิดบ้างหรือว่า ขณะที่ประกาศกำลังตกอยู่ในภาวะจนกรอบ ต้องกู้เงินมาใช้จ่าย แต่รัฐสภากลับใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ ซื้อโต๊ะเก้าอี้หลุยส์ราคาชุดละหลายแสนบ้าน เครื่องทำน้ำเย็นน้ำอุ่นเครื่องละ 8 หมื่นบาท นาฬิกาเรือนละ 75,000 บาทหลายร้อยเรือน และงบจัดซื้อจัดจ้างสุรุ่ยสุร่ายอีกหลายรายการ
ประเทศกำลังจนกรอบ แต่มันยังโกงกันอย่างไม่ละอายเลยสักนิด จะสนับสนุนให้กู้มาโกงกันได้อย่างไร
จีดีพีที่กำลังถูกสำนักวิจัยต่างๆ ปรับลดลง รวมทั้งธนาคารโลกด้วย สะท้อนชัดว่า เศรษฐกิจเกิดอาการทรุดตัว และมีแนวโน้มว่า ครึ่งปีหลังจะทรุดหนัก จนกลายเป็นวิกฤตได้
ถ้า พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท สะดุดหรือชะลอจะเกิดวิกฤตในพริบตา จะเกิดผลกระทบไปทุกหย่อมหญ้า และรัฐบาลยิ่งลักษณ์คงรับมือกับปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนไม่อยู่
เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท อาจช่วยต่ออายุรัฐบาลไปได้อีกระยะ พร้อมกับนักการเมืองอีกนับร้อยที่จะยกระดับเป็นเศรษฐีใหม่ จากการปล้นเงินงบประมาณในโครงการลงทุน จึงออกแรงผลักดันกันสุดตัว
ความเป็นความตายของประเทศ ถูกนำผูกโยงไว้กับการกู้เงิน ซึ่งหากกู้ไม่ได้ ดูเหมือนจะไปไม่รอด เพราะดูเหมือนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะหมดปัญญาหาทางออกอื่นแล้ว
ประเทศถูกนำไปเป็นตัวประกัน เพื่อเดิมพันเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท บางทีประชาชน ก็อาจต้องเดิมพันตัวเองกับชะตากรรมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
รู้กันอยู่ว่า ถ้ากู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทไม่ได้ เศรษฐกิจพังแน่ เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าแน่ แต่รัฐบาลก็พังเหมือนกัน
ไหนก็จะตายกันแล้ว ยอมพลีชีพตายพร้อมกับรัฐบาลเพื่อไทยกันดีกว่า เพราะทุกวันนี้ตายกันอย่างช้าอยู่แล้ว
ประเทศกำลังจะล่มจม แต่ “ยิ่งลักษณ์” และนักการเมืองลูกสมุนกลับผลาญเงินกันอย่างสบายใจเฉิบ ทนกันได้หรือ