ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทยคาดครึ่งปีหลัง บจ.เตรียมเข้าเทรดอีก 15 บริษัท เผยครึ่งปีแรก บจ.มีกำไรจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท แนะนักลงทุนอย่าวิตกข่าวเศรษฐกิจซบ เหตุปัจจัยภายในประเทศยังเป็นบวก มั่นใจกระทบกำไรบจ.ไม่มาก ล่าสุดหุ้นปิดลบอีก 8 จุด ต่างชาติขายอีก1พันล้าน เหตุยังไร้ปัจจัยบวกสนับสนุน
นางปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการหัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าบริษัทจดทะเบียนที่ยื่นความจำนงค์เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นไฟล์ลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO มีจำนวน 25 บริษัท แบ่งเป็นหุ้นที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET จำนวน 13 บริษัท และบริษัทที่เข้าซื้อขายหุ้นในตลาด mai จำนวน 11 บริษัท และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกจำนวน 1 กองทุน ซึ่งเป็นของ บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG โดยคาดว่าจะสามาถเสนอขายได้ ภายในครึ่งปีหลังประมาณ 15 บริษัท รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน SPCG 1 กองทุน จากในครึ่งปีแรกมีหุ้น IPO เสนอขายไปแล้ว 21 บริษัท
ขณะเดียวกันเชื่อว่า ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว จะไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ เนื่องจากการค้าขายและการลงทุนยังมีการดำเนินการที่ดีอยู่ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในประเทศก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และในปีนี้บริษัทจดทะเบียนในประเทศมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาทในครึ่งปีแรก
“บริษัทจดทะเบียนในประเทศก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี เงินสดก็ยังมีอยู่มาก คิดเป็น 8-9% ของสินทรัพย์ 9.5 ล้านล้านบาท ความสามารถในการกู้หนี้ยืมสินที่จะมาลงทุนก็มีเพิ่มขึ้น ในขณะที่ระดับหนี้ยังต่ำ ประกอบกับการออกไปขยายการลงทุนในภูมิภาค อย่างเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า ก็ยังมีมากขึ้น แต่ยังน้อยกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์ การควบรวมกิจการก็ยังมีอยู่ แต่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงที่หลายคนกังวลอาจเป็นเพราะอ่านจากสื่อต่างๆมากกว่า ซึ่งจะเห็นว่าภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวอยู่จำนวนมาก และการลงทุนและการค้าขายในประเทศก็ยังคึกคัก ทั้งที่อัตราเงินเฟ้อเองก็ยังไม่สูงมาก โดยภาพรวมแม้ภาคการส่งออกจะมีผลกระทบบ้าง แต่ถือว่าบริษัทจดทะเบียนก็ยังมีการเติบโตและมีกำไรที่สามารถจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นได้”
หุ้นไทยลบ 8.95 จุด ผันผวนไร้ปัจจัยหนุน
ด้านตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26ส.ค.) ปิดที่ระดับ 1,329.18 จุด ลดลง 8.95 จุด หรือ -0.67% มูลค่าการซื้อขาย 29,530.67 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีค่อนข้างผันผวนจากปรับตัวบวกในช่วงเช้า แต่กลับมาปิดลบ นักวิเคราะห์เชื่อว่า ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้น โดยต้องจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนตลาดภูมิภาคก็เคลื่อนไหวในแดนบวกและลบสลับกัน
“ขณะนี้ยังต้องจับตาดูปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆส่วนปัจจัยภายในประเทศ การประกาศตัวเลขส่งออกของเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง เป็นแรงกดดันต่อตลาดโดยรวมแล้วดัชนียังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบขาลง ทำให้แนวโน้มวันนี้ (27ส.ค.) ดัชนียังผันผวนต่อเนื่อง แนะนำให้นักลงเทรดในกรอบขาลงด้วยความระมัดระวัง หลังดัชนีปรับลงมาติดต่อกันถึง 7 วัน หากดีดตัวกลับขึ้นมาได้ก็มองว่าจะขึ้นไปไม่ได้มาก โดยหากยืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้จึงค่อยกลับมาลงทุน พร้อมให้แนวรับที่ 1,310-1320 จุด และแนวต้าน 1,360 จุด”
ทั้งนี้เ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิ 1,688.36 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษํทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 324.55 ล้านบาท ส่วนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,251.81 ล้านบาท และ 761.10 ล้านบาทตามลำดับ
นางปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้ช่วยผู้จัดการหัวหน้ากลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าบริษัทจดทะเบียนที่ยื่นความจำนงค์เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเตรียมยื่นไฟล์ลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกหรือ IPO มีจำนวน 25 บริษัท แบ่งเป็นหุ้นที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ SET จำนวน 13 บริษัท และบริษัทที่เข้าซื้อขายหุ้นในตลาด mai จำนวน 11 บริษัท และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกจำนวน 1 กองทุน ซึ่งเป็นของ บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG โดยคาดว่าจะสามาถเสนอขายได้ ภายในครึ่งปีหลังประมาณ 15 บริษัท รวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน SPCG 1 กองทุน จากในครึ่งปีแรกมีหุ้น IPO เสนอขายไปแล้ว 21 บริษัท
ขณะเดียวกันเชื่อว่า ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว จะไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศ เนื่องจากการค้าขายและการลงทุนยังมีการดำเนินการที่ดีอยู่ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในประเทศก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และในปีนี้บริษัทจดทะเบียนในประเทศมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้วเกือบ 1 แสนล้านบาทในครึ่งปีแรก
“บริษัทจดทะเบียนในประเทศก็ยังมีผลการดำเนินงานที่ดี เงินสดก็ยังมีอยู่มาก คิดเป็น 8-9% ของสินทรัพย์ 9.5 ล้านล้านบาท ความสามารถในการกู้หนี้ยืมสินที่จะมาลงทุนก็มีเพิ่มขึ้น ในขณะที่ระดับหนี้ยังต่ำ ประกอบกับการออกไปขยายการลงทุนในภูมิภาค อย่างเช่น ลาว กัมพูชา และพม่า ก็ยังมีมากขึ้น แต่ยังน้อยกว่ามาเลเซียและสิงคโปร์ การควบรวมกิจการก็ยังมีอยู่ แต่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงที่หลายคนกังวลอาจเป็นเพราะอ่านจากสื่อต่างๆมากกว่า ซึ่งจะเห็นว่าภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ยังมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวอยู่จำนวนมาก และการลงทุนและการค้าขายในประเทศก็ยังคึกคัก ทั้งที่อัตราเงินเฟ้อเองก็ยังไม่สูงมาก โดยภาพรวมแม้ภาคการส่งออกจะมีผลกระทบบ้าง แต่ถือว่าบริษัทจดทะเบียนก็ยังมีการเติบโตและมีกำไรที่สามารถจ่ายปันผลผู้ถือหุ้นได้”
หุ้นไทยลบ 8.95 จุด ผันผวนไร้ปัจจัยหนุน
ด้านตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26ส.ค.) ปิดที่ระดับ 1,329.18 จุด ลดลง 8.95 จุด หรือ -0.67% มูลค่าการซื้อขาย 29,530.67 ล้านบาท ภาพรวมดัชนีค่อนข้างผันผวนจากปรับตัวบวกในช่วงเช้า แต่กลับมาปิดลบ นักวิเคราะห์เชื่อว่า ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้น โดยต้องจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนตลาดภูมิภาคก็เคลื่อนไหวในแดนบวกและลบสลับกัน
“ขณะนี้ยังต้องจับตาดูปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่างๆส่วนปัจจัยภายในประเทศ การประกาศตัวเลขส่งออกของเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง เป็นแรงกดดันต่อตลาดโดยรวมแล้วดัชนียังคงแกว่งตัวอยู่ในกรอบขาลง ทำให้แนวโน้มวันนี้ (27ส.ค.) ดัชนียังผันผวนต่อเนื่อง แนะนำให้นักลงเทรดในกรอบขาลงด้วยความระมัดระวัง หลังดัชนีปรับลงมาติดต่อกันถึง 7 วัน หากดีดตัวกลับขึ้นมาได้ก็มองว่าจะขึ้นไปไม่ได้มาก โดยหากยืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้จึงค่อยกลับมาลงทุน พร้อมให้แนวรับที่ 1,310-1320 จุด และแนวต้าน 1,360 จุด”
ทั้งนี้เ พบว่า นักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิ 1,688.36 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษํทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 324.55 ล้านบาท ส่วนสถาบัน และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,251.81 ล้านบาท และ 761.10 ล้านบาทตามลำดับ