ผมนั่งดูภาพเหตุการณ์การสู้รบนองเลือดในประเทศอียิปต์ เห็นภาพการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนชาวอียิปต์นับร้อยในแต่ละวัน ด้วยความสยดสยองและหดหู่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก และอดคิดเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในเมืองไทยไม่ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอดีตหลายครั้ง ก็ล้วนแล้วแต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดเนื้อของประชาชนคนไทยจำนวนไม่น้อย
ยิ่งสถานการณ์การเมืองในบ้านเราในขณะนี้ ก็กำลังเกิดการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายประชาชนที่จัดตั้งกันเป็น “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ชุมนุมปักหลักพักค้างที่สวนลุมพินีมาตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยประกาศเจตนารมณ์จะโค่นระบอบทักษิณให้สิ้นซากไปจากประเทศไทยให้จงได้ และนับวันจะมีกลุ่มประชาชนกลุ่มอื่นๆ มาเข้าร่วมเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกที เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มหน้ากากขาว ที่ชุมนุมกันที่เซ็นทรัลเวิลด์ได้ยกขบวนมาร่วมที่สวนลุมพินีด้วย และมีกลุ่มนักศึกษาอาชีวะช่างกลช่างก่อสร้างจาก มาเข้าร่วมด้วยถึง 11 สถาบัน ทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ที่ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวพลังแรง
นอกจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ ยังส่งคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ในฐานะประธาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช นายกษิต ภิรมย์ และ ส.ส.จำนวนหนึ่งเดินทางมาประกาศเข้าร่วมพร้อมทั้งนำเสบียงอาหารมาสนับสนุนอย่างมากมาย ทำให้ขบวนการกองทัพประชาชนเริ่มมีสีสันคึกคักขึ้นจากที่ชุมนุมบางตามา หลายวัน
ผมชื่นชมการชุมนุมอย่างสงบสันติ ตามแนวทาง Neo Protest ของท่านโพธิรักษ์ แห่งสำนักสันติอโศก ที่ได้นำกองทัพธรรมมาเป็นฐานกำลังสำคัญของกองทัพประชาชนตั้งแต่เริ่มต้น แต่พอเห็นกองกำลังช่างกลช่างก่อสร้างอาชีวะแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าคณะเสนาธิการร่วมจะสามารถบริหารจัดการกองกำลังที่มีเลือดนักสู้ระอุคุกรุ่นตามประสาวัยรุ่นคนหนุ่มสาวให้อยู่ในกรอบ สงบสันติอหิงสาได้หรือไม่ ซึ่งผมก็แอบกระซิบฝากเสนาธิการร่วมบางท่านไปแล้ว เพราะในยุค 14 ตุลา เราก็เคยมีบทเรียนร่วมกันว่า แกนนำนักศึกษาไม่สามารถควบคุมกลุ่ม “ฟันเฟือง” ที่เป็นหนุ่มสาวชาวอาชีวะได้ จนเกิดการขับรถเมล์ชนรถถัง เอาตะบองไม้สู้กับปืนกลและเกิดการเผาสถานที่ราชการเป็นฉากความรุนแรง และนองเลือดบาดเจ็บล้มตายมากมาย
ผมยังหวังเหมือนกับคนไทยทุกคนที่ไม่อยากให้เกิดสงครามกลางเมืองแบบในอียิปต์ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อเห็นกองทัพประชาชนยังรวบรวมไพร่พลได้ไม่มากพอ ซึ่งย่อมจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลไม่ให้ค่าความสำคัญ ดังที่ปรากฏในคลิปเสียงจากแดนไกลว่า “ทหารไม่เอาด้วยก็จบ” และทำให้ฝ่ายรัฐบาลและคนเสื้อแดงเหิมเกริม ฉวยโอกาสเดินหน้าทำในสิ่งที่จะสนองประโยชน์ให้กลุ่มคนเสื้อแดงและทักษิณ อย่างเมามันไม่แยแสหลักนิติธรรมและขื่อแปของบ้านเมือง อันเป็นการยั่วโทสะและโหมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟความรักชาติรักความเป็นธรรมของฝ่ายกองทัพประชาชน ซึ่งเมื่อขีดความอดทนถึงจุดระเบิด ก็อาจไม่มีใครสามารถห้ามการปะทะรุนแรงถึงขั้นนองเลือดได้
ผมจึงเชื่อเหมือนที่หลายๆ คนเชื่อว่า วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการปะทะนองเลือดได้คือ กองทัพประชาชนต้องมีพลังคลื่นมหาชนเป็นแสนเป็นล้านมากพอ ที่จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลและกองกำลังเสื้อแดงไม่กล้าใช้กำลังเข้าปราบปราม
ซึ่งต้องบอกกันตรงๆ ว่า ด้วยศักยภาพของคณะเสนาธิการร่วมที่เห็นอยู่และประเมินได้ในขณะนี้ ทำได้แค่เปิดตุ่มรอสายน้ำสายต่างๆ ที่จะไหลมารวมกัน ซึ่งยังไงก็ยังไม่น่าจะมหึมาเป็นจำนวนล้านได้ ฝ่ายที่มีศักยภาพจะระดมผู้คนได้เป็นล้านในขณะนี้ ก็เห็นมีแต่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเอง ถ้าสองฝ่ายนี้จับมือร่วมกันเมื่อไหร่ กองทัพประชาชนจะมีพลังมหาศาลหยุดยั้งการนองเลือดและเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ได้โดยภาคประชาชนอย่างสงบ สันติ แน่นอน
แต่น่าเสียดายที่สองฝ่ายที่ทรงพลังนี้ พูดคุยกันแล้ว ก็ยังหาจุดบรรจบกันไม่ได้เลย โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของฝ่ายพันธมิตรฯ ที่ขอให้ประชาธิปัตย์ทิ้งระบบรัฐสภาที่ล้มเหลว เพราะเสียงข้างมากไม่ใช่ตัวแทนของปวงชนอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นขี้ข้าของระบอบทักษิณที่ทำเพื่อทักษิณ โดยทักษิณอย่างชัดแจ้งตำตา ประชาธิปัตย์จึงควรคว่ำบาตรลาออกจาก ส.ส.ทั้งหมดมานำภาคประชาชนซึ่งพันธมิตรฯ ก็จะระดมพลร่วมโดยยินดียกให้ประชาธิปัตย์เป็นผู้นำมวลชน ข้อเสนอดังกล่าวมีเหตุผลรองรับเป็นตรรกะว่า พันธมิตรฯ เคยต่อสู้ล้มรัฐบาลฝ่ายทักษิณไปแล้ว แต่เมื่อพลิกขั้วเป็นประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ในโครงสร้างการเมืองแบบเดิมและนักการเมืองเดิมๆ การบริหารประเทศชาติก็ล้มเหลวและสร้างปัญหาทับถมอย่างที่เห็นและเป็นมา พันธมิตรฯ จึงไม่ต้องการสู้เพียงเพื่อเปลี่ยนขั้วทางการเมือง แต่ต้องการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยทั้งระบบ ด้วยฉันทามติของภาคประชาชน ซึ่งประชาธิปัตย์จะต้องถอดคราบนักการเมืองออกมาสู้ในฐานะประชาชนด้วยกัน และเดินหน้าปฏิรูประบอบการเมืองไทยร่วมกับประชาชน
แต่ดูเหมือนว่า ประชาธิปัตย์ยังไม่กล้าพอ และยังยืนยันจะสู้ในรัฐสภา ซึ่งก็เสมือนหนึ่งยอมเป็นส่วนร่วมสร้างความชอบธรรมให้กับเสียงข้างมากในสภาฯ โดยยังแอบหวังว่าจะใช้กำลังมวลชนแบบเดินสองหน้า เพื่อเอาชนะพรรคเพื่อไทยแบบตีกิน ไม่เปลืองตัว เพราะยังอาศัยสถานภาพ ส.ส.คุ้มครองป้องกันตนเอง ด้วยวาทกรรม “สู้ตามหลักการ” ที่คนไทยเริ่มหมดความเชื่อถือแล้ว
เมื่อสภาพการเป็นเช่นนี้ เราจึงอาจไม่ได้เห็นกองทัพประชาชนที่ขับเคลื่อนมวลมหาประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทย แบบสงบ สันติ อหิงสาอย่างที่หวังและอยากจะให้เป็น
และเราอาจจะได้เห็น สงครามกลางเมืองที่ไม่อยากเห็นเหมือนภาพการนองเลือดในอียิปต์ ที่น่าสยดสยองและหดหู่ในหัวใจ