ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขณะที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังดันทุรังออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งจะปูทางไปสู่การลบล้างความผิดให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้บงการรัฐบาลตัวจริง จนทำให้เกิดแรงต่อต้านอย่างกว้างขวาง
อีกด้านหนึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็เสแสร้งทำทีเป็นต้องการจะหาทางออกให้บ้านเมือง ด้วยการยืนอ่านโพยออกอากาศผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเชิญตัวแทนฝ่ายต่างๆ มาร่วมหารือ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา
แถลงการณ์ในวันนั้น แค่ย่อหน้าแรกๆ ก็เห็นแล้วว่า เป็นแถลงที่ไร้ความจริงใจสิ้นดี ซึ่งก็สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของ นช.ทักษิณ ที่ชักใยน้องสาวอยู่เบื้องหลัง เพราะในขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์บอกว่ารัฐบาลพยายามดำเนินการเพื่อให้เกิดความปรองดองในชาติ แต่ขณะเดียวกันก็ใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายที่ออกมาต่อต้านว่า เป็นพวกที่ไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย มีการยั่วยุ กระตุ้นเพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร และใช้ความรุนแรง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้บิดเบือนความจริงเพื่อปกปิดความชั่วของพี่ชายตนเองด้วยการกล่าวหาคนที่ออกมาคัดค้านว่าเป็นพวกที่ไม่เอาประชาธิปไตย
หากจะย้อนเวลาไปไม่นาน หลายคนคงจำได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เคยพูดเช่นนี้ ในที่ประชุมประชาคมประชาธิปไตยที่เมืองอูลันบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย รวมทั้งในระหว่างเยือนประเทศศรีลังกา โดยหวังจะดึงเอาประชาคมโลกมาเป็นเกราะกำบังพฤติกรรมทุจริตของพี่ชายตนเอง
การอ่านแถลงการณ์แบบรีบเร่งจนต้องเอาสก๊อตเทปมายึดฐานโพเดียม เพื่อเชิญฝ่ายต่างๆ มาพูดคุยหาทางออกประเทศเมื่อวันที่ 2 สิงหาฯ จึงเป็นเพียงอีกความพยายามในการปกปิดเจตนาที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้
หลังจากอ่านแถลงการณ์วันนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้มอบหมายให้ “2 เทพ” คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้เป็นผู้ไปเชิญบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งฝ่ายรัฐบาล พรรคการเมือง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สมาชิกวุฒิสภา องค์กรอิสระ เอกชน และนักวิชาการ เข้าร่วมในเวทีพูดคุยหาทางออกให้ประเทศ
ผลปรากฏว่า คนที่มีท่าทีตอบรับเข้าร่วมก็มีแต่พรรคพวกเครือข่ายบริวารของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอ.นธ.) ที่ไม่ได้อิสระตามชื่อ เพราะมีพฤติกรรมที่รับใช้ นช.ทักษิณมาตลอด หากจะมีผู้มอบฉายา“นิติบริกรเฒ่า”ให้ก็คงจะไม่ผิดจากความเป็นจริงนัก
ซึ่งเมื่อถูกทาบทาม นายอุกฤษก็ไอเดียกระฉูดทันที ว่าควรจะตั้งเป็นสภาที่ปรึกษาบริหารราชการแผ่นดิน หรือสภาอาวุโสขึ้นมา โดยเชิญอดีตนายกฯ อดีตประธานสภา อดีตประธานศาลฎีกาที่ยังมีชีวิตอยู่และไม่ยุ่งกับการเมือง มาเป็นสมาชิกสภานี้ โดยอดีตนายกฯ นั้นมองไปที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องค์มนตรี ซึ่งแน่นอน นช.ทักษิณ ชินวัตรก็มีสิทธิมานั่งในสภานี้ด้วย
แนวคิดที่จะให้ นช.ทักษิณมาอยู่ใกล้ๆ พล.อ.เปรม มันช่างคล้ายๆ กับเนื้อหาคลิปเสียงสนทนาจากแดนไกล ที่คนเสียงคล้าย นช.ทักษิณเสนอให้ “นายพลถั่งเช่า”ไปประสานกับ พล.อ.เปรม เพื่อขอให้มีการแต่งตั้งตนเองเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อสร้างภาพว่าตนเองเป็นคนของในวัง และไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
ส่วนคนอื่นๆ ที่กระดี๊กระด๊าตอบรับเข้าร่วมเวทีพูดคุยทันที ก็มี นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เจ้าของวาจาอมตะ “เป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง” และต้องทำทุกวิถีทางให้พรรคของตัวเองได้เข้าเสียบเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทุกครั้งหลังการเลือกตั้งไม่ว่าขั้วไหนจะขึ้นมา
อีกคนก็คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ที่ยอมลดชั้นตัวเองลงมาเป็นรองนายกฯ ในรัฐบาลของ นช.ทักษิณ และตกเป็นข่าวว่าจะกลับมาร่วมอยู่ใน ครม.รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์อยู่เนืองๆ
รวมถึงนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ที่คอยซ้ายหันขวาหันตามก้นสภาผู้แทนฯ ตลอด และบอกว่าวุฒิสภาจะส่งตัวแทนเข้าร่วมพูดคุยเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ
ขณะที่ฝ่ายรู้ทันระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่ม 40 ส.ว. รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีใครตอบรับคำเชิญครั้งนี้
นั่นเพราะเงื่อนไขสำคัญที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในขณะนี้ คือการใช้พวกมากลากไปในสภาผู้แทนราษฎร ผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.เพื่อไทยเป็นผู้เสนอ เข้าสู่การพิจารณาตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมทีึ่ผ่านมา
การหารือครั้งนี้จึงถูกเรียกว่าปาหี่เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมและลดกระแสต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น
หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะหาทางออกให้เแก่ประเทศ ตามที่ปากพ่นลมออกมา ก็ต้องถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ และฉบับอื่นๆ ออกจากวาระการพิจารณาของสภาทั้งหมด
แทนที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำตามข้อเรียกร้องเหล่านี้ เพื่อขจัดเงื่อนไขความขัดแย้งก่อนที่จะเชิญทุกฝ่ายมาพูดคุย น.ส.ยิ่งลักษณ์และคนในรัฐบาลกลับออกมาเล่นลิ้น บิดเบือนว่า ข้อเรียกร้องให้ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากวาระการพิจารณาของสภา คือการสร้างเงื่อนไขทำให้การพูดคุยเพื่อปฏิรูปการเมืองเดินหน้าไปไม่ได้ โดยที่ไม่ได้ย้อนมองตัวเองว่าเป็นผู้สร้างเงื่อนไขขึ้นมาก่อนด้วยการนำกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภา
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือทำไมรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งจะมานึกขึ้นได้ว่าต้องปฏิรูปการเมืองเอาตอนนี้ ทั้งๆ ที่ มีกลุ่มประชาชน นักวิชาการ มากมายหลายกลุ่มก็ผลักดันแนวคิดนี้ เพราะเห็นทางตันของระบอบการเมืองปัจจุบันมานานแล้ว
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเคยเสนอแนวทางการเมืองใหม่ในช่วงการชุมนุม 193 วัน เมื่อปี 2551 โดยเปรียบเป็นผ้า 4 ผืน คือ 1.ประชาชนชาวไทย มีหน้าที่พิทักษ์รักษาปกป้องเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างแท้จริง
2.ประชาชนทุกสาขาอาชีพ และทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง คือมีส่วนร่วมในอำนาจในการตรวจสอบทางการเมืองผ่านสภาประชาชน สามารถตรวจสอบถอดถอนฟ้องร้องนักการเมืองและพรรคการเมืองในฐานะปัจเจกบุคคลได้
3.ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง และป้องกันไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ ตามกระแสพระราชดำรัสของพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปนักการเมือง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การปฏิรูปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และการปฏิรูปองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และ
4.ทำให้พลเมืองมีความเข้มแข็ง เพื่อวางรากฐานทำให้การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทย มีความเข้มแข็งและยั่งยืน การปฏิรูปไม่ว่าจะเป็นปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปสื่อสารมวลชน ปฏิรูปการแก้ไขปัญหาความยากจน ทำให้ประชาชนสามารถมีงานทำอย่างสุจริต มีโอกาสทางการเมือง ทางเศรษฐกิจและสังคม สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนเข้มแข็ง และตรวจสอบนักการเมืองได้อย่างแท้จริง
ล่าสุด สมัชชาปฏิรูปประเทศไทย ที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน และเพิ่งปิดภารกิจของคณะกรรมการสมัชชาฯ ไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่่ผ่านมา ก็มีข้อเสนอปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งสรุปความคิดรวบยอดได้ว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจ โดยลดการรวมศูนย์ และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ส่งเสริมให้ชุมชนปกครองตนเอง
ถ้ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จริงใจที่จะปฏิรูปการเมืองตามที่ปากบอก ก็ลองเอาแนวทางของพันธมิตรฯ หรือแนวทางสมัชชาปฏิรูปไปต่อยอดได้ทันที ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ ว่า มาช่วยกันปฏิรูป แต่การกระทำตรงกันข้าม เพราะในหัวมีแต่ความคิดจะเซ็งลี้บ้านเมืองเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น