ASTV ผู้จัดการรายวัน-ผบ.ตร.ย้ำตรวจการสนทนาทางไลน์ ต้องไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่จะเน้นเรื่องความมั่นคง ด้าน ผบก.ปอท. เมินกระแสยี้ เดินหน้าตรวจสอบต่อ อ้างมีอำนาจตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปัดไม่เกี่ยวเอาใจการเมือง กลุ่มกรีนยื่นกรรมการสิทธิมนุษยชนตรวจสอบ เหตุปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร ด้านดีเอสไอรับลูกทันควัน โพสต์รูป "ปู" คู่ป้ายเสือ สิงห์ กระทิง ... เป็นคดีพิเศษ
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผูับัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีตำรวจจะเข้าตรวจสอบการสนทนาทางโปรแกรมไลน์ ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี วานนี้ (14 ส.ค.) ว่า เรื่องนี้ได้คุยกับกองบังคับการการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แล้ว โดยมีหลัก คือ ต้องไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เรื่องส่วนตัวเราไม่เข้าไป เราคำนึงถึงความมั่นคงมากกว่า เช่น การปล่อยข่าวลือ แต่ไม่ได้จะเข้าตรวจสอบทุกรายทุกคน จะเข้าตรวจสอบเฉพาะรายกรณีที่พบพฤติกรรม แต่ทำภายใต้กรอบกฎหมายแน่นอน
"ประชาชนทั่วไปยังสามารถใช้ช่องทางไลน์ในการสื่อสารได้ปกติ หากตำรวจจะเข้าตรวจสอบผู้ใด ก็จะทำภายใต้กรอบกฎหมาย ตำรวจก็ใช้ไลน์ในการสื่อสารกัน การใช้ไลน์เป็นสิทธิการสื่อสาร การตรวจสอบใดๆ ต้องดูว่ากฎหมายให้อำนาจหรือไม่"
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท. กล่าวว่า แม้ตอนนี้ จะมีกระแสข่าวต่อต้านจากคนหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับกรณีที่ทาง บก.ปอท. เตรียมตรวจสอบการใช้ไลน์นั้น ยังยืนยันว่าไม่ย่อท้อ จะยังคงเดินหน้าดำเนินการต่อไป และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เนื่องจากเห็นความสำคัญว่าปัจจุบันนี้มีการกระทำความผิดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คและเทคโนโยลีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไลน์ที่คนไทยนิยมใช้ในการติดต่อสื่อสารมากถึง 15 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากเฟซบุ๊กที่มียอดการใช้งาน 20 ล้านคน ซึ่งน่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ แนวทางการตรวจสอบ จะทำการตรวจสอบการใช้ไลน์เฉพาะบุคคลที่กระทำความผิดเท่านั้น โดยจะตรวจสอบไปทางญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทไลน์ คอร์เปอเรชั่น เพื่อดูแค่แอ็กเคาท์ว่าคนนั้นคือใคร มาจากไหน เพื่อนำข้อมูลมาสืบสวน จับกุม ผู้กระทำความผิด ไม่ได้จะขอข้อมูลซึ่งเป็นข้อความทั้งหมด อีกอย่างที่ญี่ปุ่นไม่ได้เก็บคอนเทนท์การสนทนาทั้งหมดอยู่แล้ว เนื่องจากคนใช้ทั่วโลกมีจำนวนมาก ปอท. จะเอาเฉพาะข้อมูลการเชื่อมต่อเท่านั้น ซึ่งทางญี่ปุ่นจะให้หรือไม่ ก็อยู่ที่ดุลพินิจของเขา หากถามว่าจำเป็นไหมต้องใช้อำนาจศาลในการขอ มองว่าเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ไลน์ที่เก็บข้อมูลตั้งอยู่ที่ญี่ปุ่น นอกเขตอำนาจศาลไทย คงอยู่นอกเหนือการควบคุมที่จะสั่งให้เขาส่งข้อมูลมาให้ ขอให้เป็นความสมัครใจของเขาดีกว่า
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า ที่มีคนพยายามมองว่าตำรวจจะละเมิดสิทธิของพวกเขาหรือไม่ ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดเด็ดขาด แต่หากทำผิด ตนก็มีอำนาจในการตรวจสอบตามที่พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 18 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เชื่อว่ามีการกระทำความผิด มีอำนาจในการร้องขอคำสั่งศาลในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ยกตัวอย่างมีคนใช้ไลน์แชทกันในการทำผิดกฎหมาย ถ้าเราจะไปดูว่าเขาคุยไรกัน นี่ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลมีคำสั่ง พอศาลมีคำสั่งเราถึงจะเข้าไปดูได้ อีกอันหนี่ง ถ้าผู้ให้บริการ คือ โอเปอเรเตอร์ที่จัดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือก็ทำไม่ได้ ตำรวจทำโดยลำพังไม่ได้ ก็จำเป็นต้องเอาหมายศาลไปให้ผู้ให้บริการ เพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาล
"เอาง่ายๆ คือ ไลน์เปรียบเสมือนถนนไฮเวย์ มีรถวิ่งเต็มไปหมด เป็นพันเป็นหมื่นคันต่อวัน แล้วมีรถคันนึงเป็นโจร ตำรวจคงไปดักจับรถคันนั้นคันเดียว ไม่ไปดักจับรถเป็นหมื่นเป็นพัน เราแค่จะจับโจรเท่านั้น คันอื่นคุณก็ใช้ถนนเสรีของคุณไปสิ เราก็ไม่ไปยุ่งกับคุณ อย่างเรารู้ว่ารถทะเบียนนี้เป็นรถผู้ร้ายวิ่งอยู่ในถนน เราก็จะโฟกัสแค่รถผู้ร้าย รถอีกตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนเราก็คงไม่ไปยุ่ง เหมือนกัน"
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ทุกประเทศในโลกเจอปัญหาเหมือนกันคือการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี รูปแบบเดิมมันเป็นลักษณะของเว็บไซต์ เว็บบอร์ด ซึ่งง่ายต่อการจับกุม ง่ายต่อการตรวจสอบ แต่ภายหลังมีสมาร์ทโฟน มีแอพพลิเคชั่นต่างๆ นโยบายของผู้ให้บริการก็เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการมากขึ้น คนร้ายจึงเห็นช่องตรงนี้จึงนำไปใช้กระทำความผิด มันเลยยากต่อการตรวจสอบ
***กลุ่มกรีนยื่น กสม. สอบละเมิดสิทธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผ่านน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้ตรวจสอบพล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการ ปอท. กรณีจะตรวจสอบการแชทผ่านโปรแกรมไลน์ โดยเห็นว่า เป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และมีความผิดจริงตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 8 หรือไม่ เพราะเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น จึงต้องการให้กรรมการสิทธิฯ เร่งตรวจสอบ
ด้านน.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า จะนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมืองที่ตนเองเป็นประธาน ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเชิญปอท. ตัวแทนบริษัทไลน์ ประชาชนผู้ใช้บริการมาให้ข้อมูลเพื่อรับฟังความคิดเห็น
***กสทช.ค้าน ชี้มีกฎหมายคุ้มครอง
นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ ปอท. จะขอบริษัทที่ให้บริการไลน์เปิดข้อมูลการสนทนา และรายชื่อของคนไทยที่ใช้อยู่กว่า 15 ล้านคน ถึงแม้จะอ้างว่า ป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรมและความมั่นคง เพราะไทยมีประกาศและกฎหมายโทรคมนาคมคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสาร ที่ระบุไว้ว่า บุคคลใดหรือหน่วยงานไม่สามารถเข้าไปขัดขวาง หรือว่าแอบล้วงความลับการสื่อสารได้ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตผู้ประกอบกิจการว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร เช่น ห้ามดักฟัง และมีแผนป้องกันการดักฟังด้วย ห้ามเปิดเผยข้อมูลในการสื่อสารของผู้ใช้งาน โดยที่เจ้าตัวไม่อนุญาต แม้ว่า ปอท.จะอาศัยอำนาจด้านความมั่นคง แต่ว่าในกระบวนการการใช้กฎหมายจะต้องมีฉันทานุมัติจากผู้มีอำนาจเป็นตัวแทนรัฐบาล และต้องมีหมายศาล เช่นเดียวกับประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
***"มาร์ค"อัดรัฐสวนทางอ้างประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ชาแนล ว่า รู้สึกงงว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ เป็นอะไรกับปัญหาพื้นที่การใช้สื่อ และตามปกติเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความพยายามควบคุม ซึ่งไม่สอดคล้องกับการแอบอ้าง อวดอ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย กำลังทำตัวสวนทางกับหลักการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบ หรือหลักเรื่องความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ ซึ่งต้องเรียกร้องรัฐบาลว่าในขณะที่พยายามที่จะไปอวดอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น ทำไมไม่เคารพหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยเรื่องของสิทธิเสรีภาพประชาชน เรื่องของการแสดงออก การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการมีพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายที่จะแสดงออก
***รัฐบาลปัดสั่งปิดกั้นสิทธิสื่อทางไลน์
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมทั้งไม่ได้ต้องการเล่นงานใครทางการเมือง ซึ่งจากการสอบถามไปยัง ปอท. ได้ชี้แจงว่า หากจะมีการขอข้อมูลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะดำเนินการเฉพาะกรณี ผู้กระทำความผิดใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการค้าประเวณี ซื้อขายยาเสพติด ซื้อขายอาวุธปืน และกรณีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ในส่วนของประชาชนทั่วไปยังสามารถสื่อสารในโซเชียลมีเดียได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว และอยากให้สังคมเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นกัน
***ดีเอสไอรับลูกโพสต์แซว"ปู"คดีพิเศษ
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางเข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปปัตย์ (ปชป.) และผู้ร่วมกระทำความผิด กรณีที่โพสต์รูปถ่ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันต์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาเพื่อดูช้างป่า และฝูงกระทิงจำนวนมากที่บริเวณจุดชมวิว โดยภาพที่โพสต์นั้นเป็นรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนคู่กับป้ายจุดชมวิวซึ่งมีคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง และมีภาพของนายกรัฐมนตรียืนข้างป้ายถัดจากคำว่ากระทิง และน่าเชื่อว่าเป็นภาพตัดต่อ ซึ่งความจริงแล้วป้ายที่นายกฯ ถ่ายคู่นั้นมีข้อความระบุว่าจุดชมช้างป่า กระทิง อุทยานฯ
นายธาริตกล่าวว่า จะรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากอยู่ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นกฏหมายแนบท้ายของดีเอสไอ และถ้าดีเอสไอไม่ดำเนินการก็คงไม่มีหน่วยงานไหนดำเนินการ เพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกรัฐมนตรี และไม่ว่า น.ส.มัลลิกาจะเป็นคนตกแต่งข้อความด้วยตนเองหรือเป็นคนส่งต่อก็ผิดมาตรา 14 ทั้งสิ้น และคดีนี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนในเรื่องของการกระทำความผิด
"ดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่ว่าประมุขของประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีถูกกระทำอย่างนี้และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคดีในความรับผิดชอบของดีเอสเอสไอ เราจึงต้องดำเนินการ โดยได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ดูแลรับผิดชอบคดีนี้"
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผูับัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีตำรวจจะเข้าตรวจสอบการสนทนาทางโปรแกรมไลน์ ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จ.ชลบุรี วานนี้ (14 ส.ค.) ว่า เรื่องนี้ได้คุยกับกองบังคับการการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) แล้ว โดยมีหลัก คือ ต้องไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เรื่องส่วนตัวเราไม่เข้าไป เราคำนึงถึงความมั่นคงมากกว่า เช่น การปล่อยข่าวลือ แต่ไม่ได้จะเข้าตรวจสอบทุกรายทุกคน จะเข้าตรวจสอบเฉพาะรายกรณีที่พบพฤติกรรม แต่ทำภายใต้กรอบกฎหมายแน่นอน
"ประชาชนทั่วไปยังสามารถใช้ช่องทางไลน์ในการสื่อสารได้ปกติ หากตำรวจจะเข้าตรวจสอบผู้ใด ก็จะทำภายใต้กรอบกฎหมาย ตำรวจก็ใช้ไลน์ในการสื่อสารกัน การใช้ไลน์เป็นสิทธิการสื่อสาร การตรวจสอบใดๆ ต้องดูว่ากฎหมายให้อำนาจหรือไม่"
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท. กล่าวว่า แม้ตอนนี้ จะมีกระแสข่าวต่อต้านจากคนหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับกรณีที่ทาง บก.ปอท. เตรียมตรวจสอบการใช้ไลน์นั้น ยังยืนยันว่าไม่ย่อท้อ จะยังคงเดินหน้าดำเนินการต่อไป และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เนื่องจากเห็นความสำคัญว่าปัจจุบันนี้มีการกระทำความผิดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คและเทคโนโยลีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะไลน์ที่คนไทยนิยมใช้ในการติดต่อสื่อสารมากถึง 15 ล้านคน เป็นอันดับ 2 รองจากเฟซบุ๊กที่มียอดการใช้งาน 20 ล้านคน ซึ่งน่าเป็นห่วง
ทั้งนี้ แนวทางการตรวจสอบ จะทำการตรวจสอบการใช้ไลน์เฉพาะบุคคลที่กระทำความผิดเท่านั้น โดยจะตรวจสอบไปทางญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ดูแลเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทไลน์ คอร์เปอเรชั่น เพื่อดูแค่แอ็กเคาท์ว่าคนนั้นคือใคร มาจากไหน เพื่อนำข้อมูลมาสืบสวน จับกุม ผู้กระทำความผิด ไม่ได้จะขอข้อมูลซึ่งเป็นข้อความทั้งหมด อีกอย่างที่ญี่ปุ่นไม่ได้เก็บคอนเทนท์การสนทนาทั้งหมดอยู่แล้ว เนื่องจากคนใช้ทั่วโลกมีจำนวนมาก ปอท. จะเอาเฉพาะข้อมูลการเชื่อมต่อเท่านั้น ซึ่งทางญี่ปุ่นจะให้หรือไม่ ก็อยู่ที่ดุลพินิจของเขา หากถามว่าจำเป็นไหมต้องใช้อำนาจศาลในการขอ มองว่าเนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ไลน์ที่เก็บข้อมูลตั้งอยู่ที่ญี่ปุ่น นอกเขตอำนาจศาลไทย คงอยู่นอกเหนือการควบคุมที่จะสั่งให้เขาส่งข้อมูลมาให้ ขอให้เป็นความสมัครใจของเขาดีกว่า
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า ที่มีคนพยายามมองว่าตำรวจจะละเมิดสิทธิของพวกเขาหรือไม่ ตนขอยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดเด็ดขาด แต่หากทำผิด ตนก็มีอำนาจในการตรวจสอบตามที่พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 18 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เชื่อว่ามีการกระทำความผิด มีอำนาจในการร้องขอคำสั่งศาลในการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ยกตัวอย่างมีคนใช้ไลน์แชทกันในการทำผิดกฎหมาย ถ้าเราจะไปดูว่าเขาคุยไรกัน นี่ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลมีคำสั่ง พอศาลมีคำสั่งเราถึงจะเข้าไปดูได้ อีกอันหนี่ง ถ้าผู้ให้บริการ คือ โอเปอเรเตอร์ที่จัดในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ถ้าเขาไม่ให้ความร่วมมือก็ทำไม่ได้ ตำรวจทำโดยลำพังไม่ได้ ก็จำเป็นต้องเอาหมายศาลไปให้ผู้ให้บริการ เพื่อดำเนินการตามคำสั่งศาล
"เอาง่ายๆ คือ ไลน์เปรียบเสมือนถนนไฮเวย์ มีรถวิ่งเต็มไปหมด เป็นพันเป็นหมื่นคันต่อวัน แล้วมีรถคันนึงเป็นโจร ตำรวจคงไปดักจับรถคันนั้นคันเดียว ไม่ไปดักจับรถเป็นหมื่นเป็นพัน เราแค่จะจับโจรเท่านั้น คันอื่นคุณก็ใช้ถนนเสรีของคุณไปสิ เราก็ไม่ไปยุ่งกับคุณ อย่างเรารู้ว่ารถทะเบียนนี้เป็นรถผู้ร้ายวิ่งอยู่ในถนน เราก็จะโฟกัสแค่รถผู้ร้าย รถอีกตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนเราก็คงไม่ไปยุ่ง เหมือนกัน"
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวต่อว่า ทุกประเทศในโลกเจอปัญหาเหมือนกันคือการกระทำความผิดทางเทคโนโลยี รูปแบบเดิมมันเป็นลักษณะของเว็บไซต์ เว็บบอร์ด ซึ่งง่ายต่อการจับกุม ง่ายต่อการตรวจสอบ แต่ภายหลังมีสมาร์ทโฟน มีแอพพลิเคชั่นต่างๆ นโยบายของผู้ให้บริการก็เน้นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการมากขึ้น คนร้ายจึงเห็นช่องตรงนี้จึงนำไปใช้กระทำความผิด มันเลยยากต่อการตรวจสอบ
***กลุ่มกรีนยื่น กสม. สอบละเมิดสิทธิ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์ ผู้ช่วยผู้ประสานงานกลุ่มกรีน ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผ่านน.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อขอให้ตรวจสอบพล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการ ปอท. กรณีจะตรวจสอบการแชทผ่านโปรแกรมไลน์ โดยเห็นว่า เป็นการกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และมีความผิดจริงตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาตรา 8 หรือไม่ เพราะเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น จึงต้องการให้กรรมการสิทธิฯ เร่งตรวจสอบ
ด้านน.พ.นิรันดร์ กล่าวว่า จะนำเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมืองที่ตนเองเป็นประธาน ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเชิญปอท. ตัวแทนบริษัทไลน์ ประชาชนผู้ใช้บริการมาให้ข้อมูลเพื่อรับฟังความคิดเห็น
***กสทช.ค้าน ชี้มีกฎหมายคุ้มครอง
นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ ปอท. จะขอบริษัทที่ให้บริการไลน์เปิดข้อมูลการสนทนา และรายชื่อของคนไทยที่ใช้อยู่กว่า 15 ล้านคน ถึงแม้จะอ้างว่า ป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรมและความมั่นคง เพราะไทยมีประกาศและกฎหมายโทรคมนาคมคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสาร ที่ระบุไว้ว่า บุคคลใดหรือหน่วยงานไม่สามารถเข้าไปขัดขวาง หรือว่าแอบล้วงความลับการสื่อสารได้ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขแนบท้ายใบอนุญาตผู้ประกอบกิจการว่า ต้องสร้างความเชื่อมั่นในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร เช่น ห้ามดักฟัง และมีแผนป้องกันการดักฟังด้วย ห้ามเปิดเผยข้อมูลในการสื่อสารของผู้ใช้งาน โดยที่เจ้าตัวไม่อนุญาต แม้ว่า ปอท.จะอาศัยอำนาจด้านความมั่นคง แต่ว่าในกระบวนการการใช้กฎหมายจะต้องมีฉันทานุมัติจากผู้มีอำนาจเป็นตัวแทนรัฐบาล และต้องมีหมายศาล เช่นเดียวกับประเทศเสรีประชาธิปไตยทั่วไป
***"มาร์ค"อัดรัฐสวนทางอ้างประชาธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทางสถานีโทรทัศน์บลูสกาย ชาแนล ว่า รู้สึกงงว่ารัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ เป็นอะไรกับปัญหาพื้นที่การใช้สื่อ และตามปกติเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความพยายามควบคุม ซึ่งไม่สอดคล้องกับการแอบอ้าง อวดอ้างว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย กำลังทำตัวสวนทางกับหลักการ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบ หรือหลักเรื่องความโปร่งใส หลักความรับผิดชอบ ซึ่งต้องเรียกร้องรัฐบาลว่าในขณะที่พยายามที่จะไปอวดอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น ทำไมไม่เคารพหลักการพื้นฐานประชาธิปไตยเรื่องของสิทธิเสรีภาพประชาชน เรื่องของการแสดงออก การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการมีพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายที่จะแสดงออก
***รัฐบาลปัดสั่งปิดกั้นสิทธิสื่อทางไลน์
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมทั้งไม่ได้ต้องการเล่นงานใครทางการเมือง ซึ่งจากการสอบถามไปยัง ปอท. ได้ชี้แจงว่า หากจะมีการขอข้อมูลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะดำเนินการเฉพาะกรณี ผู้กระทำความผิดใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการค้าประเวณี ซื้อขายยาเสพติด ซื้อขายอาวุธปืน และกรณีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ในส่วนของประชาชนทั่วไปยังสามารถสื่อสารในโซเชียลมีเดียได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว และอยากให้สังคมเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นกัน
***ดีเอสไอรับลูกโพสต์แซว"ปู"คดีพิเศษ
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เดินทางเข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปปัตย์ (ปชป.) และผู้ร่วมกระทำความผิด กรณีที่โพสต์รูปถ่ายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนคู่กับป้ายอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ขณะเดินทางไปอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันต์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาเพื่อดูช้างป่า และฝูงกระทิงจำนวนมากที่บริเวณจุดชมวิว โดยภาพที่โพสต์นั้นเป็นรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนคู่กับป้ายจุดชมวิวซึ่งมีคำว่า เสือ สิงห์ กระทิง และมีภาพของนายกรัฐมนตรียืนข้างป้ายถัดจากคำว่ากระทิง และน่าเชื่อว่าเป็นภาพตัดต่อ ซึ่งความจริงแล้วป้ายที่นายกฯ ถ่ายคู่นั้นมีข้อความระบุว่าจุดชมช้างป่า กระทิง อุทยานฯ
นายธาริตกล่าวว่า จะรับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากอยู่ใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นกฏหมายแนบท้ายของดีเอสไอ และถ้าดีเอสไอไม่ดำเนินการก็คงไม่มีหน่วยงานไหนดำเนินการ เพราะบุคคลในภาพเป็นถึงนายกรัฐมนตรี และไม่ว่า น.ส.มัลลิกาจะเป็นคนตกแต่งข้อความด้วยตนเองหรือเป็นคนส่งต่อก็ผิดมาตรา 14 ทั้งสิ้น และคดีนี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนในเรื่องของการกระทำความผิด
"ดีเอสไอไม่ได้รับใช้การเมือง แต่ว่าประมุขของประเทศในฐานะนายกรัฐมนตรีถูกกระทำอย่างนี้และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคดีในความรับผิดชอบของดีเอสเอสไอ เราจึงต้องดำเนินการ โดยได้มอบหมายเรื่องนี้ให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ดูแลรับผิดชอบคดีนี้"