ASTVผู้จัดการรายวัน -บ้านปูเฉือนงบลงทุน 4ปี (2555-58)ลงเหลือไม่เกิน 1พันล้านเหรียญฯจากเดิมที่หั่นลงเหลือ 1.24 พันล้านเหรียญ เพื่อให้สอดรับราคาถ่านหินที่ลดลง และรักษาฐานการเงินให้พร้อมการลงทุนในอนาคต แย้มมองหาโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้า และ ทำCoal Chemical ที่มองโกเลีย คาดได้ข้อสรุปปีนี้ ยอมรับปีนี้ทั้งรายได้และกำไรวูบต่ำกว่าปีก่อน
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้มีการปรับลดงบการลงทุน 4ปี (2555-2558)จาก 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐเหลือเพียง 1,248 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในช่วงที่ราคาถ่านหินปรับตัวลง โดยจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนและเลื่อนบางโครงการที่ไม่สร้างรายได้ออกไปก่อน
เชื่อว่าการใช้งบลงทุนจริงจะต่ำกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากสามารถลดงบลงทุนในโครงการที่ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และมองโกเลียได้ ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าหงสา 378 ล้านเหรียญสหรัฐยังคงเดิม และมีการลดค่าใช้จ่ายการบริหารลงได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้จาก 20%เป็น 30% เพื่อลดผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลง
รวมทั้งมีการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนก่อนหลัง เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุนไม่สูงจนเกินไป เพื่อให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงทุนได้ในอนาคตหากสถานการณ์ถ่านหินพลิกกลับมาดีขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทก็มองหาโอกาสที่จะลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในประเทศที่บริษัทมีฐานการผลิตถ่านหินอยู่แล้วทั้งออสเตรเลีย อินโดนีเซียและจีน
โดยยอมรับว่าเข้าไปศึกษาการประมูลขายโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียเพื่อเสริมธุรกิจบ้านปู แต่ยังไม่ได้เข้าร่วมประมูล
ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหินในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากครึ่งปีแรกนี้ เนื่องจากปริมาณถ่านหินที่เกินความต้องการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นราคาเฉลี่ยถ่านหินปีนี้อยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนปีหน้าราคาถ่านหินน่าจะทรงตัวอยู่ที่ 83-84 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยมองว่าราคาถ่านหิน ณ ปัจจุบันใกล้จุดต่ำสุดแล้วแต่คงไม่เห็นการปรับขึ้นราคาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณถ่านหินยังเกินความต้องการใช้ในตลาด (โอเวอร์ ซัปพลาย) น่าจะมีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังโตต่อเนื่อง เพราะราคาต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มถ่านหินคุณภาพต่ำ โดยจะนำถ่านหินจากเหมืองออสเตรเลียและอินโดนีเซียมาผสมกัน เพื่อขายให้ได้ราคาที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจซื้อถ่านหินจากที่อื่นๆมาผสมด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โครงการทำCoal Chemical จากเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยจะนำถ่านหินมาสกัดเป็นของเหลว ใช้ต่อยอดในการผลิตน้ำมันดีเซล แนฟธา และแอมโมเนียไนเตรท ซึ่งตลาดจีนยังมีความต้องอยู่มาก คาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
นายชนินท์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯปริมาณการขายถ่านหินจะอยู่ที่ 46 .03 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ลดลงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 47 ล้านตัน เนื่องจากมีการปิดเหมืองถ่านหินคุณภาพต่ำ 2แห่งในออสเตรเลีย ทำให้ปริมาณการผลิตหายไปบางส่วนโดยปีนี้ออสเตรเลียผลิตถ่านหิน14.30 ล้านตัน อินโดนีเซีย 29 ล้านตัน จีน 2.73 ล้านตัน
ดังนั้นผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.25 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิปรับลดลงมาก จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.29 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯมีรายได้รวม 5.03 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.55 พันล้านบาท สาเหตุที่รายได้ลดลงมาจากราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลง และการแปลงค่าเงินบาท
ส่วนการแตกพาร์จากหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯในวันที่ 9 ก.ย.นี้ จะทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น และเป็นการขยายฐานนักลงทุนให้เข้ามาถือหุ้นบ้านปูได้มากขึ้น
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้มีการปรับลดงบการลงทุน 4ปี (2555-2558)จาก 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐเหลือเพียง 1,248 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในช่วงที่ราคาถ่านหินปรับตัวลง โดยจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนและเลื่อนบางโครงการที่ไม่สร้างรายได้ออกไปก่อน
เชื่อว่าการใช้งบลงทุนจริงจะต่ำกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากสามารถลดงบลงทุนในโครงการที่ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และมองโกเลียได้ ส่วนการลงทุนโรงไฟฟ้าหงสา 378 ล้านเหรียญสหรัฐยังคงเดิม และมีการลดค่าใช้จ่ายการบริหารลงได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้จาก 20%เป็น 30% เพื่อลดผลกระทบจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลง
รวมทั้งมีการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนก่อนหลัง เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุนไม่สูงจนเกินไป เพื่อให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงทุนได้ในอนาคตหากสถานการณ์ถ่านหินพลิกกลับมาดีขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทก็มองหาโอกาสที่จะลงทุนธุรกิจไฟฟ้าในประเทศที่บริษัทมีฐานการผลิตถ่านหินอยู่แล้วทั้งออสเตรเลีย อินโดนีเซียและจีน
โดยยอมรับว่าเข้าไปศึกษาการประมูลขายโรงไฟฟ้าในออสเตรเลียเพื่อเสริมธุรกิจบ้านปู แต่ยังไม่ได้เข้าร่วมประมูล
ส่วนแนวโน้มราคาถ่านหินในครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากครึ่งปีแรกนี้ เนื่องจากปริมาณถ่านหินที่เกินความต้องการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นราคาเฉลี่ยถ่านหินปีนี้อยู่ที่ 85 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนปีหน้าราคาถ่านหินน่าจะทรงตัวอยู่ที่ 83-84 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยมองว่าราคาถ่านหิน ณ ปัจจุบันใกล้จุดต่ำสุดแล้วแต่คงไม่เห็นการปรับขึ้นราคาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสถานการณ์ปริมาณถ่านหินยังเกินความต้องการใช้ในตลาด (โอเวอร์ ซัปพลาย) น่าจะมีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ขณะที่ความต้องการใช้ถ่านหินยังโตต่อเนื่อง เพราะราคาต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มถ่านหินคุณภาพต่ำ โดยจะนำถ่านหินจากเหมืองออสเตรเลียและอินโดนีเซียมาผสมกัน เพื่อขายให้ได้ราคาที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจซื้อถ่านหินจากที่อื่นๆมาผสมด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้โครงการทำCoal Chemical จากเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยจะนำถ่านหินมาสกัดเป็นของเหลว ใช้ต่อยอดในการผลิตน้ำมันดีเซล แนฟธา และแอมโมเนียไนเตรท ซึ่งตลาดจีนยังมีความต้องอยู่มาก คาดว่าโครงการดังกล่าวจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
นายชนินท์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯปริมาณการขายถ่านหินจะอยู่ที่ 46 .03 ล้านตันเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่ลดลงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 47 ล้านตัน เนื่องจากมีการปิดเหมืองถ่านหินคุณภาพต่ำ 2แห่งในออสเตรเลีย ทำให้ปริมาณการผลิตหายไปบางส่วนโดยปีนี้ออสเตรเลียผลิตถ่านหิน14.30 ล้านตัน อินโดนีเซีย 29 ล้านตัน จีน 2.73 ล้านตัน
ดังนั้นผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 1 แสนล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 1.25 แสนล้านบาท และมีกำไรสุทธิปรับลดลงมาก จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.29 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯมีรายได้รวม 5.03 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิ 1.55 พันล้านบาท สาเหตุที่รายได้ลดลงมาจากราคาถ่านหินที่อ่อนตัวลง และการแปลงค่าเงินบาท
ส่วนการแตกพาร์จากหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาท โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นฯในวันที่ 9 ก.ย.นี้ จะทำให้หุ้นมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น และเป็นการขยายฐานนักลงทุนให้เข้ามาถือหุ้นบ้านปูได้มากขึ้น