ASTVผู้จัดการรายวัน - บ้านปูยอมรับรายได้ไตรมาส 2 วูบต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เหตุราคาถ่านหินฟื้นช้า แม้ว่ากำลังการผลิตจากเหมืองออสเตรเลียจะเพิ่มขึ้น ล่าสุดเฉลี่ยตันละ 87 เหรียญสหรัฐ เชื่อว่าครึ่งปีหลังเห็นราคาถ่านหินฟื้นตัว แต่ทั้งปีบริษัทฯคาดยอดขายที่ 1.17 แสนล้านบาทไว้ได้ ฟุ้งปี 59 รับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าหงสาใกล้เคียงโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี 3พันล้านบาท
นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 2/56 บริษัทฯยังคงมีรายได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาถ่านหินลดต่ำลงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งไตรมาสนี้ราคาถ่านหินอยู่ที่ 87 เหรียญสหรัฐ/ตัน ใกล้เคียงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่ราคาถ่านที่อินโดนีเซียไตรมาส 1/2555ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 101 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ไตรมาส 1/56 ราคาเฉลี่ย 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการแก้ไขปัญหาการผลิตถ่านหินที่เหมืองในออสเตรเลีย คาดว่าไตรมาส 2 นี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นใกล้เคียง 4 ล้านตัน ดีกว่าไตรมาส1/56 ที่มีกำลังผลิตอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน ส่วนการผลิตที่เหมืองอินโดนีเซียน่าจะรักษาระดับการผลิตใกล้เคียงไตรมาสแรกอยู่ที่ 7 ล้านตัน ขณะเดียวกันเริ่มมีสัญญาณที่ดีด้านราคาถ่านหินว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
ดังนั้น ผลดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีที่แล้วที่ 1.25 แสนล้านบาท แม้ว่าปริมาณการผลิตและขายที่อินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นจาก 27.2 ล้านตันเป็น 29.9 ล้านตัน และออสเตรเลียใกล้เคียงปีที่แล้วอยู่ที่ 14.5 ล้านตัน แต่ราคาขายถ่านหินอ่อนตัวลง อีกทั้งปีนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าในจีนเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าหงสา กำลังการผลิต 1.8 พันเมกะวัตต์ ที่สปป.ลาว ขณะนี้ดำเนินการการก่อสร้างไปแล้ว 49% คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบยูนิตแรก 600เมกะวัตต์กลางมิ.ย. 58 ยูนิตที่ 2 ช่วงพ.ย. 58 และยูนิตที่ 3 มี.ค. 59 ทำให้บริษัทฯรับรู้รายได้ตามสัดส่วนจากโรงไฟฟ้าหงสาเฉลี่ย 3 พันล้านบาทในช่วง 3-4 ปีแรก
นางสมฤดี กล่าวต่อไปว่า ปีนี้ความต้องการใช้ถ่านหินในตลาดโลกเติบโต 4%อยู่ที่ 940 ล้านตัน โดยตลาดหลักยังเป็นจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ปริมาณการผลิตยังเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ขณะที่ปริมาณการส่งออกถ่านหินจากสหรัฐฯมายังภูมิภาคเอเชียในปีนี้ลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากราคาขายก๊าซฯจากเชลล์แก๊สเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4เหรียญต่อล้านบีทียู ทำให้โรงงานหันกลับไปใช้ถ่านหินเหมือนเดิม
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายลดการนำเข้าถ่านหินคุณภาพต่ำเข้ามาขายในจีน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ถ่านหินคุณภาพสูงที่นำเข้าจากออสเตรเลียและอินโดนีเซียแข่งขันด้านราคากับถ่านหินที่ผลิตในจีนได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการผลิตถ่านหินคุณภาพดี มีค่าความร้อนสูง ซึ่งบริษัทฯขายถ่านหินเข้าไปในตลาดจีนคิดเป็น 24%ของปริมาณการผลิตรวมของบริษัทและส่งออกไปขายที่อินเดีย 7%ของปริมาณการผลิตรวม
ขณะเดียวกัน กรณีที่สหรัฐฯอนุญาตให้ส่งออกก๊าซแอลเอ็นจีไปจำหน่ายให้ญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้านั้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือราคาถ่านหิน เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในญี่ปุ่นก็ยังเดินเครื่องปกติ เพราะญี่ปุ่นจำเป็นต้องรักษาสมดุลการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าไม่เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปและก๊าซฯที่สหรัฐฯขายให้ก็ไม่ได้เข้ามาแทนที่ถ่านหิน
ส่วนความคืบหน้าคดีฟ้องร้องของกลุ่มนายศิวะ งานทวีกับบมจ.บ้านปูในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา สปป.ลาวนั้น ขณะนี้บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลชั้นต้น คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีอีกนานหลายปี อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯแพ้คดีจะต้องชำระเงินก้อนแรก 4พันล้านบาทบวกดอกเบี้ย หรือประมาณ 6.5 พันล้านบาท และจ่ายในปี 2558-70 อีกปีละ 800 ล้านบาทเป็นเวลา 12 ปีและปี 2571-82อีกปีละ 1 พันล้านบาท ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
นางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-การเงิน บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 2/56 บริษัทฯยังคงมีรายได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาถ่านหินลดต่ำลงมากเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งไตรมาสนี้ราคาถ่านหินอยู่ที่ 87 เหรียญสหรัฐ/ตัน ใกล้เคียงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่ราคาถ่านที่อินโดนีเซียไตรมาส 1/2555ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 101 เหรียญสหรัฐ/ตัน แต่ไตรมาส 1/56 ราคาเฉลี่ย 80 เหรียญสหรัฐ/ตัน
นอกจากนี้ บริษัทได้มีการแก้ไขปัญหาการผลิตถ่านหินที่เหมืองในออสเตรเลีย คาดว่าไตรมาส 2 นี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นใกล้เคียง 4 ล้านตัน ดีกว่าไตรมาส1/56 ที่มีกำลังผลิตอยู่ที่ 2.9 ล้านตัน ส่วนการผลิตที่เหมืองอินโดนีเซียน่าจะรักษาระดับการผลิตใกล้เคียงไตรมาสแรกอยู่ที่ 7 ล้านตัน ขณะเดียวกันเริ่มมีสัญญาณที่ดีด้านราคาถ่านหินว่าผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้ว
ดังนั้น ผลดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีที่แล้วที่ 1.25 แสนล้านบาท แม้ว่าปริมาณการผลิตและขายที่อินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นจาก 27.2 ล้านตันเป็น 29.9 ล้านตัน และออสเตรเลียใกล้เคียงปีที่แล้วอยู่ที่ 14.5 ล้านตัน แต่ราคาขายถ่านหินอ่อนตัวลง อีกทั้งปีนี้บริษัทฯรับรู้รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าในจีนเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าหงสา กำลังการผลิต 1.8 พันเมกะวัตต์ ที่สปป.ลาว ขณะนี้ดำเนินการการก่อสร้างไปแล้ว 49% คาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบยูนิตแรก 600เมกะวัตต์กลางมิ.ย. 58 ยูนิตที่ 2 ช่วงพ.ย. 58 และยูนิตที่ 3 มี.ค. 59 ทำให้บริษัทฯรับรู้รายได้ตามสัดส่วนจากโรงไฟฟ้าหงสาเฉลี่ย 3 พันล้านบาทในช่วง 3-4 ปีแรก
นางสมฤดี กล่าวต่อไปว่า ปีนี้ความต้องการใช้ถ่านหินในตลาดโลกเติบโต 4%อยู่ที่ 940 ล้านตัน โดยตลาดหลักยังเป็นจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ปริมาณการผลิตยังเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ขณะที่ปริมาณการส่งออกถ่านหินจากสหรัฐฯมายังภูมิภาคเอเชียในปีนี้ลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน เนื่องจากราคาขายก๊าซฯจากเชลล์แก๊สเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 4เหรียญต่อล้านบีทียู ทำให้โรงงานหันกลับไปใช้ถ่านหินเหมือนเดิม
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายลดการนำเข้าถ่านหินคุณภาพต่ำเข้ามาขายในจีน เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ถ่านหินคุณภาพสูงที่นำเข้าจากออสเตรเลียและอินโดนีเซียแข่งขันด้านราคากับถ่านหินที่ผลิตในจีนได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีการผลิตถ่านหินคุณภาพดี มีค่าความร้อนสูง ซึ่งบริษัทฯขายถ่านหินเข้าไปในตลาดจีนคิดเป็น 24%ของปริมาณการผลิตรวมของบริษัทและส่งออกไปขายที่อินเดีย 7%ของปริมาณการผลิตรวม
ขณะเดียวกัน กรณีที่สหรัฐฯอนุญาตให้ส่งออกก๊าซแอลเอ็นจีไปจำหน่ายให้ญี่ปุ่นเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้านั้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทหรือราคาถ่านหิน เนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในญี่ปุ่นก็ยังเดินเครื่องปกติ เพราะญี่ปุ่นจำเป็นต้องรักษาสมดุลการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าไม่เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปและก๊าซฯที่สหรัฐฯขายให้ก็ไม่ได้เข้ามาแทนที่ถ่านหิน
ส่วนความคืบหน้าคดีฟ้องร้องของกลุ่มนายศิวะ งานทวีกับบมจ.บ้านปูในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา สปป.ลาวนั้น ขณะนี้บริษัทได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลชั้นต้น คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีอีกนานหลายปี อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯแพ้คดีจะต้องชำระเงินก้อนแรก 4พันล้านบาทบวกดอกเบี้ย หรือประมาณ 6.5 พันล้านบาท และจ่ายในปี 2558-70 อีกปีละ 800 ล้านบาทเป็นเวลา 12 ปีและปี 2571-82อีกปีละ 1 พันล้านบาท ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน