ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สูตรการล้างพิษตับในแต่ละประเทศนั้นแม้ว่าจะมีหลักการคล้ายคลึงกัน แต่ดูเหมือนว่าเมื่อค้นพบในรายละเอียดก็จะพบเรื่องที่น่าสนใจในความแตกต่างหลายประการ หากใครได้เข้าใจเหตุผลของแต่ละสูตรได้อย่างละเอียด ก็จะทำให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแต่ละเหตุผล จนสามารถที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวะบุคคลที่มีความแตกต่างกันได้
หนังสือเล่มหนึ่งที่น่าจะนำมาอ้างอิงในชั้นนี้คือหนังสือที่มีชื่อว่า "The Liver and Gallbladder Miracle Cleanse" แปลเป็นไทยคือ "มหัศจรรย์ล้างตับและถุงน้ำดี" ซึ่งเขียนโดย อันเดรส์ มอริสต์ (Andreas Moristz) เป็นชาวเยอรมันผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งที่ได้ทำให้เกิดการแพร่หลายในการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกในยุคนี้
แม้ว่าการล้างพิษตับในประเทศไทยในขณะนี้ได้ผสมผสานบูรณาการภูมิปัญญาและองค์ความรู้ที่หลากหลายมากขึ้นกว่าสูตรดั้งเดิมไปมาก ไม่ว่าจะเป็นการล้างลำไส้ให้สะอาดก็ดี การใช้สมุนไพรไทย การนวดคลายเส้น การจัดกระดูก ฯลฯ แต่อย่างน้อยการเข้าใจของเหตุผลดั้งเดิมนั้นก็อาจทำให้เราเข้าใจถึงเหตุผลในแต่ละขั้นตอนได้มากขึ้น
ความจริงแล้วการล้างพิษตับให้ได้มีประสิทธิภาพนั้นน่าจะแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นตอน คือ
1.ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนล้างพิษตับ
2.การอดอาหาร
3.การล้างลำไส้
4.การดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อล้างตับ
5.การปฏิบัติตัวหลังล้างพิษตับ
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งในประเทศไทยที่ไม่ค่อยเน้นการเตรียมตัวก่อนล้างพิษตับทำให้หลายคนมีความเข้าใจผิดก่อนเข้าหลักสูตรล้างพิษว่าต้องรับประทานอาหารตุนเอาไว้มากๆก่อนอดอาหาร ซึ่งความคิดนี้ดูจะสร้างปัญหาอยู่ไม่น้อยเพราะอาจทำให้ลำไส้ไม่สะอาดจริง และอาจเป็นผลทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ในขณะเดียวกันบางคนเข้าใจว่าเมื่อเลิกอดอาหารแล้วจึงต้องรับประทานอัดเข้าไปมากๆเพื่อชดเชยการอดอาหารก็อาจจะเกิดผลเสียตามมาได้เช่นกัน เช่น อ้วนขึ้น หรือไขมันคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูงขึ้น หากอัตราการเผาผลาญยังไม่มาอยู่ในระดับเดิมหลังอดอาหาร
ต่อไปนี้เป็นการสรุปโดยย่อของสูตรของอันเดรส์ มอริสต์ ที่ได้เขียนบันทึกเอาไว้ในหนังสือดังกล่าวน่าสนใจอยู่หลายประการดังนี้
การล้างพิษตับในสูตรนี้จะใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้า 6 วัน และตามาด้วยช่วงเวลาการล้างจริงๆอีกประมาณ 16-20 ชั่วโมง เพื่อขจัดนิ่วโดยมีการเตรียมอุปกรณ์ได้แก่ 1. น้ำแอปเปิ้ล 6 ขวด ขวดละ 1 ลิตร 2. ดีเกลือ 4 ช้อนโต๊ะละลายในน้ำ 3 แก้วๆละ 8 ออนซ์ (ประมาณ 240 ซีซี) 3. น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ชนิดหีบเย็นครึ่งถ้วยตวง (4 ออนซ์ หรือ ประมาณ 125 ซีซี) 4. น้ำมะนาว 2 ใน 3 แก้ว ของน้ำเกรฟฟรุ๊ต (สีชมพูดีที่สุด) หรือ น้ำมะนาวและน้ำส้มผสมกันรวมประมาณ 187.5 ซีซี 5. ขวดขนาด 1 ไพนท์ (473 ลูกบาศก์เซนติเมตร) จำนวน 2 ใบ พร้อมฝาปิด
ส่วนขั้นตอนการเตรียมตัวให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ล 32 ออนซ์ ( 1 ลิตร) เป็นอย่างน้อย โดยเป้าหมายคือการนำกรดมาลิค (Malic acid) จากน้ำแอปเปิ้ลที่จะมาช่วยทำให้นิ่วอ่อนตัวลงและทำให้ง่ายต่อการขับออกผ่านทางท่อน้ำดี โดยน้ำแอปเปิ้ลมีประสิทธิภาพให้ผลอย่างชัดเจนมาก แต่บางคนที่อ่อนไหวและไว้ต่อน้ำแอปเปิ้ล และบางครั้งอาจมีอาการท้องเสียในช่วง 2-3 วันแรก ซึ่งอาการท้องเสียส่วนใหญ่นั้นความจริงแล้วเกิดจากน้ำดีที่อยู่นิ่งๆนั้นได้ถูกปล่อยออกมาโดยตับและถุงน้ำดี (ซึ่งสามารถสังเกตได้จากสีที่ขับออกมานั้นเป็นสีน้ำตาล-เหลือง) ทั้งนี้การหมักตัวของน้ำผลไม้ที่ดื่มเข้าไปจะช่วยทำให้ท่อน้ำดีขยายตัวขึ้น ถ้ามันทำให้เกิดอาการอึดอัดไม่สบายตัว สามารถเจือจางน้ำแอปเปิ้ลด้วยน้ำเปล่า
การดื่มน้ำแอปเปิ้ลให้พยายามดื่มอย่างช้าๆในระหว่างวัน และระหว่างมื้ออาหาร (หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำผลไม้ก่อนอาหาร และ 2 ชั่วโมงแรกหลังอาหาร และหลีกเลี่ยงการดื่มตอนเย็น) สำหรับการดื่มน้ำเพิ่มเติมสามารถดื่มน้ำธรรมดาได้อีก 6 - 8 แก้ว ทั้งนี้ควรใช้น้ำแอปเปิ้ลไร้สารพิษ และสามารถใช้น้ำแอปเปิ้ลที่วางขายเชิงพาณิชย์ได้ น้ำแอปเปิ้ลเข้มข้น หรือ แอปเปิ้ลไซเดอร์ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน
ในขณะเดียวกันควรกลั้วปากโดยน้ำที่มีฤทธิ์ด่าง เช่น เบคกิ้งโซดา หรือแปรงฟันวันละหลายๆครั้งต่อวันเพื่อป้องกันการกัดกร่อนฟันจากกรดที่เกิดขึ้นจากน้ำแอปเปิ้ลด้วย
การรับประทานอาหารในขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนล้างตับนั้น อันเดรส์ มอริสต์ ได้แนะนำว่าในระหว่างเตรียมตัว 1 สัปดาห์เพื่อล้างตับและถุงน้ำดีนั้น ให้หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่เย็นหรือมีฤทธิ์เย็นทุกชนิด เพราะจะทำให้ตับเย็นทำให้ลดพลังงานและประสิทธิภาพในการขับหรือล้างพิษของตับ อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดควรจะต้องอุ่นหรืออย่างน้อยอยู่ในอุณหภูมิห้อง เพื่อช่วยให้ตับได้เตรียมตัวเพื่อล้างพิษควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มาจากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อาหารทอดๆ และอย่ารับประทานมากเกินไป
ในความเห็นของ อันเดรส์ มอริสต์ คิดว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการล้างพิษนั้นควรทำในช่วงสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีความเครียดหรือแรงกดดดัน ทำให้มีเวลาพักผ่อนได้เพียงพอ แม้ว่าการทำความสะอาดตับให้มีประสิทธิภาพจะทำเวลาใดก็ได้นั้น แต่ถ้าเป็นไปได้ควรจะทำช่วงระหว่าง วันขึ้น 15 ค่ำ ถึง วันขึ้น 1 ค่ำ พยายามหลีกเลี่ยงในการล้างพิษตับในวันพระจันทร์เต็มดวง (ข้างขึ้น 15 ค่ำ) เพราะร่างกายมีแนวโน้มที่จะมีของเหลวในสมองและเนื้อเยื่อในวันนี้มากกว่าวันอื่นๆ วันขึ้น 1 ค่ำคือวันที่ร่างกายมีพลังที่สุดทำหรับการล้างพิษและฟื้นฟูร่างกาย
ถ้ามียาที่ต้องรับประทาน อันเดรส์ มอริสต์ ให้ความเห็นว่า ควรหลีกเลี่ยงยา วิตามิน หรืออาหารเสริมที่ไม่จำเป็นจริงๆ เพื่อไม่ให้ตับทำงานพิเศษอย่างอื่นซึ่งอาจไปแทรกแซงหรือรบกวนความสามารถที่จะล้างพิษตับ
และให้แน่ใจว่าลำไส้ของผู้ที่จะล้างพิษตับนั้นจะต้องสะอาดทั้งก่อนและหลังล้างพิษตับ การขับถ่ายได้ทุกวันไม่ได้แปลว่าการขับถ่ายของคุณจะไม่ติดขัด การสวนล้างลำไส้สามารถทำได้ก่อนหรือทำในวันที่ 6 ของการเตรียมตัว เพื่อป้องกันมิให้น้ำมันที่ผสมกับผลิตภัณฑ์สารพิษที่พาออกมานั้นถูกดูดกลับ การล้างลำไส้ให้สะอาดยังช่วยให้การกำจัดนิ่วออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นด้วย
ในวันที่ 6 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนดื่มน้ำมันมะกอก ให้ดื่มน้ำแอปเปิ้ล 1 ลิตรตลอดทั้งวัน อาจเริ่มต้นด้วยการดื่มตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นมา ถ้าหิวในตอนเช้าให้รับประทานอาหารเบาๆ เช่น ซีเรียลร้อนๆ หรือ ข้าวโอ๊ต พยายามหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มรสชาติหวาน ไม่ว่าจะมาจากน้ำตาลหรือสารทดแทนน้ำตาลอื่นๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด นมวัว เนย ชีส น้ำมัน โยเกิร์ต แฮม ไข่ไก่ ไข่เป็ด ถั่ว ขนมอบ ซีเรียลเย็น และอาหารประเภทเหล่านี้ ให้รับประทานผลไม้และน้ำผลไม้ สำหรับมื้อเที่ยงให้รับประทานผักต้มหรือนึ่งกับข้าวขาวและเติมรสชาติด้วยเกลือทะเลธรรมชาติเพียงเล็กน้อย และย้ำว่าอย่ารับประทานอาหารที่มีโปรตีน เนย และ น้ำมัน มิเช่นนั้นคุณอาจรู้สึกป่วยในระหว่างล้างพิษได้ หลัง 13.30 น. อย่ารับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มอื่นใดอีก
เมื่อถึงวันที่ 6 ก่อน 18.00 น. ได้ถือว่าขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนวันล้างพิษได้เสร็จสิ้นแล้ว และจะเริ่มเข้าสู่วันล้างพิษต่อไป ดังนี้
18.00 น. เอาดีเกลือ หรือ แมกนีเซียมซัลเฟต 4 ช้อนโต๊ะ และผสมกับน้ำ 24 ออนซ์ (ประมาณ 709 ซีซี) แล้วผสมเอาไว้ในขวดที่เตรียมเอาไว้แบ่งออกเป็น 4 แก้ว และให้ดื่มในเวลานี้ไปก่อน 1 แก้ว (177.25 ซีซี) โดยสามารถปรับปรุงรสชาติด้วยการเติมน้ำมะนาวเข้าไปเล็กน้อย บางคนอาจใช้หลอดดูดเพื่อไม่ให้ลิ้นรับรสชาติของดีเกลือ หรือบางคนก็สามารถใช้วิธีปิดจมูกก็สามารถช่วยได้ในหลายคน และสามารถไปแปรงฟันหลังจากดื่มหรือบ้วนปากด้วยเบกกิ้งโซดาก็ได้ เป้าหมายของการดื่มดีเกลือคือการทำให้ท่อน้ำดีขยายตัวกว้างขึ้นเพื่อทำให้นิ่วสามารถผ่านท่อน้ำดีไปได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้นดีเกลือยังช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกกีดขวางนิ่วได้อีกด้วย จากนั้นให้เตรียมผลไม้(มะนาว+น้ำส้ม)เอาไว้เพื่อให้อยู่ในอุณหภูมิห้อง
20.00 น. ดื่มดีเกลือเป็นแก้วที่ 2 (177.25 ซีซี)
21.30 น. หากถึงเวลานี้ยังไม่ได้มีการขับถ่ายเลย และยังไม่ได้ทำการสวนล้างลำไส้ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ให้ทำการสวนล้างลำไส้เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายในเวลานั้น
21.45 น. ล้างผลไม้ไม่ว่าจะเป็นเกรฟฟรุ๊ต (หรือ มะนาวและน้ำส้ม) คั้นด้วยมือแยกกากออก จากนั้นให้นำผลไม้ 187.5 ซีซี ไปผสมกับน้ำมันมะกอก 125 ซีซี ในขวดที่เตรียมเอาไว้แล้วปิดฝาให้แน่น แล้วเขย่าแรงๆ 20 ครั้ง จนกระทั่งส่วนผสมละลายเข้ากัน ตามอุดมคติแล้วคุณควรดื่มส่วนผสมนี้ในเวลา 22.00 น. แต่ถ้าคุณรู้สึกยังต้องการเข้าห้องน้ำอีก ยังสามารถเลื่อนเวลาดื่มนี้ออกไปอีกอีกประมาณ 10 นาที
22.00 น. ยืนขึ้นข้างเตียงและให้ดื่มต่อเนื่อง ถ้าเป็นไปได้ให้ดื่มโดยไม่ให้มีการสะดุดหรือขัดจังหวะ บางคนอาจใช้วิธีดื่มผ่านหลอดพลาสติกขนาดใหญ่ก็ได้ หรือบางคนก็ใช้วิธีอุดรูจมูกระหว่างการดื่มก็ดูเหมือนจะดีที่สุด ถ้าจำเป็นสามารถจิบน้ำผึ้งได้ จะช่วยทำให้ส่วนผสมมีรสชาติที่กลมกล่อมและลื่นไหลมากขึ้น คนส่วนใหญ่แม้ว่าจะไม่ได้มีปัญหาในการดื่มในรวดเดียวแต่อย่าใช้เวลาดื่มเกิน 5 นาที
หลังจากนั้นให้นอนลงทันที ปิดไฟ และใช้หมอนสองใบเพื่อยกศีรษะให้สูงกว่าท้อง ถ้ารู้สึกอึดอัด สามารถนอนตะแคงขวาและให้เข่าดึงขึ้นมาด้านหน้า ให้นอนนิ่งสงบอย่างสมบูรณ์เป็นเวลา 20 นาที และพยายามอย่าพูด ให้ตั้งจิตสมาธิไปที่ตับ
6.00 น. - 6.30 น. ให้ลุกขึ้นตื่น แต่อย่าตื่นก่อน 6.00 น. ให้ดื่มดีเกลือที่เตรียมเอาไว้เป็นแก้วที่ 3 ถ้าหิวน้ำมากให้ดื่มน้ำอุ่นก่อนที่จะดื่มดีเกลือ หลังจากนั้นให้พักผ่อน อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรือนอนโดยท่าที่ดีที่สุดคือถ้าหลังตรง แต่คนส่วนใหญ่ชอบที่จะออกกำลังกายเบาๆเช่น โยคะ
8.00 น. - 8.30 น.ดื่มดีเกลือแก้วที่ 4
10.00 น. - 10.30 น. คุณอาจจะดื่มน้ำผลไม้สดได้ในเวลานี้แล้ว หนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากนั้นคุณสามารถรับประทานผลไม้ได้ 1 - 2 ชิ้น 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นคุณสามารถรับประททานอาหารอ่อนๆได้ และในตอนเย็นหรือในเช้าวันรุ่งขึ้น คุณสามารถกลับไปสู่ภาวะปกติ พยายามรับประทานอาหารอ่อนๆไปอีก 2-3 วัน
ในเช้าวันที่ 7 หรืออาจจะเป็นช่วงตอนบ่ายในวันนั้น เราก็จะเห็นผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจากตับและถุงน้ำดีเรียบร้อยแล้ว !!!