xs
xsm
sm
md
lg

“ม็อบแมลงสาบ”จอดยกแรกปชป.สะบัดตูดเอาตัวรอด “ม็อบแมลงสาบ”จอดยกแรก ปชป.สะบัดตูดเอาตัวรอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ต้องยอมรับว่ากระแสที่ “พรรคประชาธิปัตย์”โหมโรง ปลุกเร้าขึ้นในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากับการต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถือว่าใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะการใช้พื้นที่เวที “ผ่าความจริงวันนี้”ในพื้นที่ กทม. ถึง 4 วันติดต่อกัน เพื่อเรียกแม่ยก-กองเชียร์ ออกมารวมพลังต่อต้าน ด้วยลีลาปราศรัยที่เข้มข้น ดุดัน แบบแตกหัก
อีกทั้งยังมี มิติใหม่ของพรรคการเมืองเก่าแก่ ที่ประกาศรับบท“แกนนำม็อบ”อย่างเต็มตัว เพราะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีเวทีของพรรคการเมืองปักหลักปราศรัยข้ามคืน อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ถือว่าการเปิดตัวในฐานะ“แกนนำม็อบ”ของพรรคประชาธิปัตย์ที่อลังการพอตัว
โดยเฉพาะบรรยากาศที่บริเวณลานกีฬาใต้ทางด่วนอุรุพงษ์ ซึ่งใช้เป็นพื้นที่ปราศรัยในนามเวทีประชาชน “หยุดกฎหมายล้างผิดคิดล้มรัฐธรรมนูญ หยุดเงินกู้ผลาญชาติ หยุดอำนาจฉ้อฉล” ระหว่างวันที่ 5-6 ส.ค. และต่อเนื่องมาถึงรุ่งเช้าของวันที่ 7 ส.ค. เพื่อร่วมเดินเท้าไปยังรัฐสภา ส่ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้าร่วมประชุมสภาฯ วาระพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ “พรรคสีฟ้า”เรียกว่า “กฎหมายล้างผิดคนโกง”
เมื่อเวลา 9 โมงเช้าตามนัดหมายได้มาถึง ต้องบอกว่าใครได้ฟังการปราศรัยที่ใต้ทางด่วนอุรุพงษ์เวลานั้น ต้องขนลุกขนพอง ฮึกเหิมไปตามๆ กัน โดยเฉพาะการปลุกอารมณ์มวลชนของ “องอาจ คล้ามไพบูลย์ –สาทิตย์ วงศ์หนองเตย”ที่หากตกงาน ไม่ได้เป็นส.ส. หันมารับจ๊อบเป็น“แกนนำม็อบ”ได้สบายๆ
จนเวลา 9 โมงครึ่ง ก็ได้ฤกษ์จัดแถวตั้งขบวนเตรียมกรีฑาทัพมุ่งหน้าสู่รัฐสภา ซึ่งนำโดย “ชวน หลีกภัย - อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ –สุเทพ เทือกสุบรรณ –บัญญัติ บรรทัดฐาน” ตามมาด้วย ส.ส.อีกร่วมร้อยชีวิต ซึ่งนำหน้ามวลชนที่ตามมาอย่างหนาตา
**จุดนี้เป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์การเมือง ที่ม็อบมี“อดีตนายกฯ”เดินนำหน้าถึง 2 คน
“ทัพประชาธิปัตย์”ใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการเดินทางผ่าน ถ.พระราม 6 เลี้ยวซ้ายที่แยกตึกชัย และมาหยุดที่แยกราชวิถี เพื่อเจรจากับตำรวจในการนำมวลชนเข้าไปยังหน้าอาคารรัฐสภา บรรยากาศตลอดสองข้างทางเป็นไปอย่างปกติ มีประชาชนมาโบกมือให้กำลังใจตลอดทาง ไร้วี่แววฝั่งตรงข้ามที่จะมาสกัดขัดขวางอย่างที่คิดไว้ และถือเป็นภาพที่มีพลังอย่างมาก
เมื่อถึงที่หมายตอนแรกมีการประเมินกันว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะส่งทีมกฎหมายไปเจรจากับทางเจ้าหน้าที่ เพื่อหวังใช้ช่องทางกฎหมายในการกดดันตำรวจให้ปฏิบัติ แต่ก็มีเซอร์ไพรส์เล็กๆ เมื่อ“ขุนพลตัวจริง”ทั้ง “ชวน–อภิสิทธิ์ –สุเทพ –บัญญัติ" เป็นผู้เจรจาด้วยตัวเอง
เมื่อรู้ว่า“คู่เจรจา”เป็น “พ.ต.อ.วิศาล พันธ์มณี” ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 8 (ผบก.น.8) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในจุดแยกราชวิถี ทีมเจรจาของพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำขาดทันทีว่า ต้องการเจรจากับผู้มีอำนาจตัดสินใจ ซึ่งหมายถึง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว”ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เท่านั้น
แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธ "แกนนำม็อบสีฟ้า" ก็ยื่นคำขาดอีกว่า จะขอนำมวลชนที่ติดตามมาทั้งหมดไปที่หน้าอาคารรัฐสภา ซึ่งแน่นอน ย่อมถูกปฏิเสธ จึงต้องขอเจรจานำมวลชนบางส่วนเข้าไปในพื้นที่ พร้อมกำหนดเดดไลน์ 10 นาที ให้ฝ่ายตำรวจตัดสินใจ
เอาเข้าจริง เงื่อนไขทั้งหมดที่ยื่นไปนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า ตำรวจแทบไม่ต้องคิด เพราะยอมรับไม่ได้ และต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน จึงเป็นที่มาของการยอมลงแต่โดยดี และผลัดกันขึ้นเวทีปราศรัยชั่วคราว ร่ำลา ขอบอกขอบใจมวลชน ที่มาส่งถึงตรงนั้น และขอให้ทุกคนแยกย้าย กลับไปติดตามข่าวสารที่บ้านตัวเอง
**คำว่า “มักง่าย”คงนิยามช่วงเวลานั้นได้ดีที่สุด
ทำให้นึกย้อนไปถึง “การ์ตูน บัญชา-คามิน”ที่ตีพิมพ์ใน “ASTVผู้จัดการรายวัน”ฉบับวันที่ 1 ส.ค.56 ซึ่งเป็นภาพทางแยกระหว่างการเมืองในสภา กับการเมืองนอกสภา โดยมีตัวการ์ตูนคล้าย “อภิสิทธิ์ –สุเทพ”กับกลุ่มมวลชนที่เดินตามมา และมีคำพูดว่า “เราต้องแยกกันตรงนี้แล้ว ผมกับมาร์คต้องไปสภา พวกคุณเดินไปตรงโน้นเรื่อยๆ... คำรณวิทย์ เค๊าคอยต้อนรับพวกคุณอยู่”
ทั้งที่เป็นภาพการ์ตูนที่ออกมาล่วงหน้าร่วมสัปดาห์ ซึ่งตรงกับความเป็นจริงราวกับนั่งทางใน
ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายคาดว่า พรรคประชาธิปัตย์ ต้องใส่เกียร์เดินหน้าสู้นอกสภาอย่างเต็มที่ เพื่อต่อต้านกฎหมายฉบับดังกล่าว เพราะสำเหนียกตัวเองว่า หากไปสู้ในเวทีสภาฯ ก็ไม่มีทางที่จะสู้เสียงข้างมากในสภาได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ขอประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และเตรียมจัดวางกำลังรับมืออย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน
แต่เมื่อถึงวันดีเดย์ กลับไม่เป็นดังที่คาด
มองมุมหนึ่งก็ถือว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องการทำหน้าที่ตามครรลองระบบรัฐสภา และไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวายหรือสูญเสียแต่อย่างไร ถ้าคิดแบบนี้ก็น่านับถือ แต่ก็ไม่ควรออกมาทำท่าเหมือนจะเล่นเกมนอกสภาแบบนี้
ขณะที่อีกมุมหนึ่งถือว่าน่าผิดหวังสำหรับบทบาทการนำมวลชน ที่จู่ๆ มาทิ้งทุ่นกันกลางคัน ส่วนตัวเองอ้างว่า ขอเข้าสภาฯไปทำหน้าที่ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่อสู้ในสภาฯ พูดจนปากเปียก ปากแฉะ ให้ตาย อย่างไร ก็แพ้อยู่วันยันค่ำ
**แต่กลับเอามาใช้เป็น“ข้ออ้าง”ทิ้งมวลชนแบบดื้อๆ
โดยไม่สำนึกถึงคำว่า“รับผิดชอบ”ที่เรียกร้องเชิญชวน “แม่ยก - กองเชียร์”ออกมา ร่วมกันแสดงพลัง แต่กลับปล่อยทิ้งไว้กลางคัน และเมื่อส.ส. และแกนนำพรรคทยอยเข้าสู่สภาฯ กันหมด บรรดาการ์ด ที่จัดเต็มมาก็โดดขึ้นรถกลับ ทั้งๆ ที่มวลชนบางส่วนยังหลงเหลืออยู่
หลายคนยังรู้สึกว่า มาแสดงพลังกันแบบไม่สุด อารมณ์ค้างกันเป็นทิวแถว
การที่มวลชนที่ยังเหลืออยู่แบบไม่มีแกนนำ และไร้ทิศทาง ถือเป็นเป้าหมายชั้นดีในการสร้างความวุ่นวายของ “มือที่สาม” นี่ยังเคราะห์ดีที่ไม่เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
ส่วนมวลชน “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ”ที่ปักหลักอยู่ที่สวนลุมพินี ซึ่งถูกมองว่าจะมาผสมโรงร่วมทัพกับทางฝั่งเวทีผ่าความจริง ก็ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดๆ จากที่ตั้ง ด้วยข้อจำกัดในเรื่องจำนวนคน ที่น้อยเกินคาด
เรื่องของเรื่องก็เป็นเพราะตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของการชุมนุม“กองทัพประชาชนฯ”ก็มีสัญญาณจากฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นระยะ ในการชักชวนให้มาผนึกกำลังกัน ทั้งการขึ้นเวทีสวนลุมฯ ของ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ”ส.ส.ฝีปากกล้า ของค่ายสีฟ้า หรือการที่ปรากฎ “วินัย สมพงษ์ –สรรเสริญ สมะลาภา”ไปร่วมอยู่ในวอร์รูมของกองทัพประชาชนฯ ด้วย
รวมไปถึงข่าวการระดมมวลชนจากภาคใต้ เข้ามาเสริมกำลังให้แก่กองทัพประชาชนฯ ที่ไร้วี่แววแนวร่วมที่ไม่มาตามนัด
แต่จนแล้วจนรอด กลับไร้สัญญาณที่มีความชัดเจนจากทาง “ค่ายสีฟ้า”ทำให้กองทัพประชาชนฯซึ่งมีข้อจำกัดหลายประการอยู่แล้ว จึงเตรียมการไม่ทันที่จะเคลื่อนมวลชนมาที่หน้ารัฐสภาตามที่ตั้งใจไว้ทำให้มองได้ว่า งานนี้ “ค่ายสีฟ้า”พยายามโหมโรงสร้างกระแส “ปลุกเร้าอารมณ์”หลอกประชาชนให้ลุกขึ้นต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรม ในทุกรูปแบบ โดยหวังจะยืมมือคนอื่นอีกครั้ง ขณะที่ตัวเองก็เตรียมข้ออ้างเข้าทำหน้าที่ในสภาฯเอาไว้แล้วที่ว่าจะเทหมดหน้าตัก แต่กลับกั๊กไว้
เมื่อมวลชนขาดพลัง พรรคประชาธิปัตย์ ไม่แสดงความจริงใจ บทสรุป ก็เป็นไปตามเกมของฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่แม้อาจจะถูกพรรคฝ่ายค้านใช้ฝีปากยื้อยุดการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ได้นานหลายชั่วโมงก็ตาม เพราะท้ายที่สุดก็ยากจะต้านทานต่อเสียงข้างมาก ที่รัฐบาลมีอยู่ในมือ
รูปการเป็นแบบนี้ก็เท่ากับว่า รันเวย์ของกฎหมายนิรโทษกรรมจะโล่งไปจน ผ่านวาระ 3 ซึ่งก็เกือบจะเป็นกฎหมายสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นการที่ พรรคประชาธิปัตย์ประกาศจะ “เป่านกหวีดยาว” ให้คนออกมาต่อต้านคัดค้านกลางถนน เล่นการเมืองนอกสภา ก็สายเกินไปแล้ว
ยิ่งวันนี้มีข้อหา“ทิ้งมวลชน”ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้เลย สำหรับการนำม็อบ แล้วถึงเวลาจริงใครจะเชื่อถืออีก เพราะเล่นสับขาหลอกทั้ง “แกนนำ” ด้วยกันแล้ว ก็ยังหลอก “แม่ยก-กองเชียร์” อีก
**ใครก็รู้ว่า“ค่ายสีฟ้า”พร้อมจะแปลงกายสวมบท“แมลงสาบ”มุดหนีเข้าสภาฯ ทิ้งให้ชาวบ้านอยู่ข้างถนนแบบเหงา ๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น