xs
xsm
sm
md
lg

จงจัดตั้งกันขึ้นมา เอาชนะระบอบทักษิณ ในศึกยกสุดท้าย !

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

(7 ส.ค.56)

บ่าย 3 โมงวันที่ 4 สิงหาคม ณ ที่ชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ ร.6 สวนลุมพินี พลันที่ลั่นระฆังดัง “แก๊ง !” แล้ว พลเอก ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ก็ประกาศก้องบนเวทีปราศัยว่า “ยกที่หนึ่ง”ของการทำศึกโค่นระบอบทักษิณ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว !

“ยกแรก”ของศึกครั้งนี้ “ยกสุดท้าย”ของสงครามมวลชน

ตามหลัก “เข้าถึงธรรม”(เข้าถึง “ความจริง”ในระดับแก่นแท้ ไม่ติดอยู่กับปรากฏการณ์) ที่ผู้เขียนยึดปฏิบัติ และตามทฤษฎี “สงครามมวลชน” (สร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชน สร้างกองทัพมวลชนตื่นรู้) ตามที่ผู้เขียนนำเสนอ เห็นว่า การเคลื่อนพลครั้งใหญ่ของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณครั้งนี้ เป็นการยกระดับการต่อสู้ของขบวนการฯประชาชน ตอบโต้การ “เร่งเกม”ของฝ่ายทักษิณ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การคุกคามศาลรัฐธรรมนูญ การปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ การผลักดันแผนกู้เงิน 2.2 ล้านๆบาท และการเร่งประมูลโครงการแก้ปัญหาน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ตลอดจนการยืนยันที่จะเข็นโครงการจำนำข้าว ที่พิสูจน์แล้วว่าได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติโดยรวมแล้วต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ฯลฯ และในที่สุดก็มาลงที่การเร่งพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษฯ ที่ทุกฝ่ายเล็งเห็นว่า มุ่งเปิดทางให้แก่การกลับมาเสวยอำนาจของนักโทษชายทักษิณ โดยเฉพาะการสนทนาของสองคนใน “คลิบลับ” ทำให้คนไทยรับรู้ว่าทักษิณได้คืบเข้าคุมกองทัพไว้ในมือแล้วนั้น ได้กระพือความรู้สึก “ทนไม่ไหว”ของคนไทยทุกระดับอย่างรุนแรง และแปรเปลี่ยนเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านอย่างถี่ยิบ ในรูปแบบต่างๆ ยกระดับการต่อสู้ของขบวนการฯประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

การปะทุขึ้นของพลังเงียบ “ทนไม่ไหว” ที่ปรากฏออกมาในรูปของ “กองทัพประชาชนหน้ากากขาว” ในห้วงเดือนพฤษภาคม และต่อมาก็คือการประกาศตัวของ “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ในกลางเดือนมิถุนายน คือปฏิกิริยาตอบโต้การเร่งเกมของทักษิณที่เป็นรูปธรรมที่สุด

ผู้เขียนถือว่า การปรากฏตัวของกองทัพประชาชนหน้ากากขาว เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามมวลชนระลอกที่สอง สืบต่อจากระลอกที่หนึ่ง ที่นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุลในปลายปี 2548 และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549

ในสงครามมวลชนระลอกที่หนึ่ง ภารกิจหลักคือ การ“จุดเทียนปัญญา” สร้างความ “ตื่นรู้” ให้แก่มวลชน กระทั่งเกิด “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ยี่ห้อ “พันธมิตรฯ” ทั่วทั้งประเทศ แม้ภายหลังการชุมนุม 158 วันในปี 2554 แล้ว ก็ยังสามารถระดมพลได้อย่างรวดเร็วเป็น “กำปั้นเหล็ก” ทุบแผนชั่วของระบอบทักษิณได้ ดังเช่นในกรณีที่พรรคเพื่อไทยต้องถอยกรูด ยกเลิกการเข็น พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภาฯในปลายเดือนเมษายน 2555

ในสงครามมวลชนระลอกที่สอง กองทัพประชาชนหน้ากากขาว “ลุกฮือ”ขึ้นทั้งในและต่างประเทศดุจ “ไฟลามทุ่ง” ประกาศก้อง “จักล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย” สะท้อนกระแส “ทนไม่ไหว”ของ “พลังเงียบ” ที่เริ่มปะทุตั้งแต่วลีเด็ด “กะหรี่แค่ขายตัว แต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ”ของคุณชัย ราชวัตร ได้กระตุ้นความตื่นตัวครั้งใหญ่ในหมู่คนไทยทุกระดับชั้น โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ ในโลกไซเบอร์ รวมไปถึงบุคคลดีเด่นในแวดวงวิชาการ และข้าราชการ เช่น ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ดร. อัมมาร สยามวาลา แห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และคุณ สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นต้น

และไล่หลังมาติดๆ กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณก็แสดงตัว ประกาศเจตจำนงชัดเจนที่จะรวมพลัง “ทุกฝ่าย” โค่นล้มระบอบทักษิณ และต่อมาเมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศเดินหน้า จะผ่าน พ.ร.บ. นิรโทษฯ ในทันทีที่เปิดประชุมรัฐสภาฯในต้นเดือนสิงหาคม คณะเสนาธิการร่วม กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณก็ประกาศทิศทางการเคลื่อนไหวต่อสู้ ชุมนุมใหญ่วันที่ 4 สิงหาคม 2556 ทันที หากทักษิณไม่ “เบรคเกม”

มาถึงวันนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นสัญญาณบอกว่า ฝ่ายทักษิณ “เบรคเกม” กลับยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเร่งเกม “หักด่าน” ในทุกๆเรื่องทั้งในและนอกสภาฯ และแสดงอาการชัดเจนว่าพร้อมใช้มาตรการรุนแรงสะกัดการชุมนุมของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ และดูเหมือนพร้อมที่จะ “ปราบ” เพื่อสยบขบวนการฯประชาชน ให้ยอมศิโรราบต่ออำนาจเผด็จการในระบอบทักษิณ ขณะที่ขบวนการฯประชาชน ทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่ม องค์กร ต่างๆ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ต่างประกาศสนับสนุนกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ และเตรียมพร้อมที่จะ “ร่วมสู้” เต็มที่ เมื่อเงื่อนไขอำนวย

การ “เร่งเกม” และการประกาศ “สู้” เช่นนี้ ผู้เขียนขอตีความว่า มันก็คือ การประกาศ “สงคราม” และ ณ วันนี้ ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สภาวะหรือ “โหมด”ของ “สถานการณ์สู้รบ” แล้ว !

“สงครามมวลชน” ได้ก้าวเข้าสู่ระลอกที่สามแล้ว !

มันเป็นการทำศึก “ยกสุดท้าย” ในการขับเคี่ยวกันของคู่ขัดแย้งหลักที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทย ระหว่างขบวนการฯประชาชนกับระบอบทักษิณ ซึ่งจะต้องลงเอยด้วยผลแพ้ชนะอย่างชัดเจน !

ต้องรวมตัวกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ทุบทำลายระบอบทักษิณให้พังพินาศไป

ในทางประวัติศาสตร์ ระบอบทักษิณเป็นสิ่งอัปลักษณ์ของสังคมโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่คนๆเดียวโดยมีบรรดาสาวกหลากหลายพากันน้อมรับและเชิดชูบูชาอำนาจเผด็จการฟัสซิสต์ เพียงเพื่อผลตอบแทนที่ตนจะได้รับอย่างไม่รู้สึกละอายใจ ซึ่งถึงที่สุดแล้วระบอบเช่นนี้จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในประเทศไทย และจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมอารยะใดๆ

แต่ด้วยอำนาจเงินและการหลอกลวงด้วยเสื้อคลุม “ประชาธิปไตย” ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณกับพวกสามารถขยายเครือข่ายเข้าควบคุมมวลชนยากจนและกลไกอำนาจรัฐสำคัญ เช่นตำรวจ ทหาร อัยการ และศาล(จำนวนหนึ่ง) เบียดยึดพื้นที่ “อำมาตย์” ได้สำเร็จในหลายๆด้าน พวกเขาจึง “ย่ามใจ” และตัดสินใจ “หักด่าน” ครั้งสุดท้าย เพื่อกลืนกินประเทศไทย

ทว่า ณ วันนี้ คนไทยจำนวนมากได้ “ตื่นรู้”แล้ว สามารถมองเห็นธาตุแท้ของระบอบทักษิณได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่ามีความเป็นปฏิปักษ์ต่อคนไทยโดยรวม ขาดความชอบธรรมและคุณธรรมที่จะมาครอบครองชีวิตของคนไทย และเห็นว่า พวกเขาเป็นเพียง “เสือกระดาษ” จึงพากันรวมตัวเป็นกลุ่ม องค์กร ประกอบกันเข้าเป็นขบวนการฯประชาชน อันกว้างใหญ่ไพศาล

แต่กระนั้นก็ยังขาดพลัง เพราะต่างคนต่างทำ ไม่เป็นเอกภาพ

เพื่อแก้ปัญหานี้ให้ตกไป ผู้เขียนได้นำเสนอในข้อเขียนเรื่อง “แก้ว 3 ประการ”ของขบวนการฯประชาชนว่า ขบวนการฯประชาชนจะรวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ตะลุยทุบระบอบทักษิณให้พังพินาศไปได้ด้วยการสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด ทางการเมือง และทางการจัดตั้ง ซึ่ง ณ วันนี้ ขบวนการฯประชาชนได้บรรลุสู่ความเป็นเอกภาพทางความคิด(เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย)และการเมือง(โค่นล้มระบอบทักษิณ) ระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่เกิดเอกภาพทางการจัดตั้ง คือยังไม่ได้รวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ยังไม่สามารถขับเคลื่อนขบวนการฯประชาชนด้วยยุทธศาสตร์เดียวกัน

ณ ที่นี้ ผู้เขียนขอเสนอให้ “ทุกฝ่าย” ในขบวนการฯประชาชน มาร่วมก่อตั้ง “สภาการเมืองประชาชน” ภายใต้ร่มธง “ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทย”

นั่นคือ “ทุกฝ่าย” มายืนอยู่บนเวทีเดียวกัน ภายใต้ร่มธงเดียวกัน

คำว่า “ทุกฝ่าย” ไล่ตั้งแต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กองทัพประชาชนหน้ากากขาว
กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(รวมถึงองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย) กลุ่มอดีต “พคท.” (อาจมีหลายกลุ่ม) กลุ่มนักการเมือง(อาจมาจากหลายพรรค) ตลอดจนกลุ่ม องค์กร ต่างๆในขบวนการฯประชาชนที่ประกาศจุดยืน “โค่นระบอบทักษิณ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย”

เมื่อเร็วๆ นี้ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศนำร่องแล้วว่า ขอให้นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ลาออกจากความเป็น ส.ส. แล้วมาร่วมกับประชาชนเคลื่อนไหวต่อสู้ล้มล้างระบอบทักษิณ เปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยทุกฝ่ายมาร่วมกันก่อตั้งสภาการเมืองประชาชน

สภาการเมืองประชาชน ก็คือเวทีร่วมของกลุ่ม องค์กร ต่างๆของขบวนการฯประชาชน สำหรับทุกฝ่ายมา “ร่วมคิดร่วมทำ” กำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทย เฉพาะหน้านี้ก็คือ ร่วมกันกำหนดแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี ในการทำ “สงครามมวลชน” ยกสุดท้าย

ในทางรัฐศาสตร์ สภาการเมืองประชาชน นับเป็น “กลไก”สำคัญของขบวนการฯประชาชน ในการขับเคลื่อนกระบวนการเกิดขึ้นของระบบสภาประชาชนให้ปรากฏเป็นจริง ซึ่งจะประกอบด้วย สภาการเมืองประชาชน สภาภูมิปัญญาประชาชน และสภาผู้แทนประชาชน

ขบวนการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ก็คือ “แบรนด์” หรือ “ธง” หนึ่งเดียวของขบวนการฯประชาชน แสดงออกถึงความเป็น “ตัวตน” และ “ทิศทาง” ที่มีความเป็น“เอกลักษณ์”ชัดเจน โดดเด่นไม่ซ้ำกันกับใคร สังคมไทยและสังคมโลกโดยรวมสามารถเข้าถึงและ “จับต้องได้” อย่างเป็นรูปธรรม เกิดการยอมรับได้ง่ายในการ “ดำรงอยู่” และเกิดความเชื่อมั่นอย่างแท้จริงใน “พลานุภาพ”ของขบวนการฯประชาชน รวมทั้งสามารถคาดหวังได้ ในทิศทางการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในที่สุด “ธง” นี้ ก็จะเป็นที่ “ไว้วางใจ” และ “ฝากความหวัง”ได้ของปวงชนชาวไทย

ดังนั้น ทั้ง “เวที” และ “ธง” นี้ จึงไม่เพียงแต่จะเป็น “เงื่อนไขจำเป็น” (ขาดไม่ได้)ของการรวมตัวกันเข้าของขบวนการฯประชาชนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางแห่งอนาคตและจุดหมายปลายที่ประเทศไทยจะมุ่งไปให้ถึงด้วย

จากนี้ จะทำให้คนไทยและชาวโลกโดยรวมพลอย “จินตนาการ” ร่วมไปกับขบวนการฯประชาชน เชื่อมโยงและส่งพลังสู่ขบวนการฯประชาชนได้อย่างกลมกลืน ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการ “สร้างสรรค์” การเมืองแบบใหม่ขึ้นในประเทศไทย ที่ไม่เพียงต้องใช้ได้ดีในประเทศไทย แต่ยังจะเป็นส่วนหนึ่งของการ “ต่อยอด”กระบวนการพัฒนาการทางการเมืองของมวลมนุษยชาติด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น