ASTV ผู้จัดการรายวัน - ดีเอสไอ ตั้งวงถกพศ. ยกอดีตพระเณรคำโมเดลเป็นกรณีศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ปฎิบัติในทางไม่เหมาะ พร้อมตั้งทีมรับตัว 8 ส.ค.ไม่ว่าจะเข้าทางด่านไหน และจะกำหนดหลักทรัพย์ที่เหมาะสมในการขอยื่นประกันตัว ตามแนวปฎิบัติของศาลอาญา ด้านทนายความพลิ้วอ้างได้รับการประสานจากสมีคำ ยังไม่พร้อมเข้ามอบตัว และไม่ทราบอยู่ชายแดนด้านไหน
วานนี้ ( 6 ส.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีเอสไอ แถลงหลังการประชุมร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อหารือแนวทางป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ปฎิบัติในทางไม่เหมาะสมว่า ผอ.พศ.และตนพร้อมคณะทำงานของดีเอสไอ ได้ประชุมหารือโดยยกกรณีอดีตพระเณรคำโมเดล เป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ แนวปฎิบัติ การกำกับตรวจสอบควบคุมให้สงฆ์ ที่ปฎิบัติไม่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้อีก ได้นำกรณีศึกษาพูดกันหลายเรื่อง ดีเอสไอได้นำเรื่องอดีตพระเณรคำ และเรื่องเสี่ยอู๊ด ที่เคยถูกดีเอสไอดำเนินคดีกรณีสร้างพระเข้าหารือ เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า จะจัดสัมมนาระดับประเทศโดยมี พศ.และดีเอสไอเป็นเจ้าภาพ หาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขข้อปฎิบัติต่างๆ เกี่ยวกับสงฆ์ ที่ปฎิบัติไม่เหมาะสม มีจุดประสงค์หลักเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ
“ดีเอสไอจะเชิญ 14 หน่วยงานมาหารือ ประกอบด้วย พศ.มหาเถระสมาคม ดีเอสไอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กระทรวงการต่างประเทศ(กรมการกงศุล) กรมป่าไม้ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมโยธาธิการ สปปง ปปส กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมสรรพกร กระทรวงไอซีที และภาคสื่อมวลชนและประชน โดยจะร่วมทำงานอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลในภาพร่วม ไม่จบคดีอดีตพระเณรคำแล้วก็ลืมไป” นายธาริต กล่าว
ด้านอธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ส่วนการติดต่อเข้ามอบตัวของอดีตพระเณรคำ ทางทนายความได้ยืนยันว่าอดีตพระเณรคำจะเข้ามอบตัวในวันพฤหัสฯ ที่ 8 ส.ค.แต่ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่ชัดเจนว่ามีการสึกจากสมณเพศหรือยัง ถ้าสึกแล้วก็ไม่มีปัญหาถ้ายังไม่สึกตนได้ประชุมร่วมกับคณะพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ และ พศ.สรุปว่าการให้สึกไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของดีเอสไอแต่เป็นอำนาจหน้าที่ของ พศ.ดังนั้นเพื่อให้เกิดความพร้อมในการปฎิบัติในวันที่มีการนัดหมายวันเวลารับมอบตัวชัดเจนที่ด่านไม่ว่าจะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของหนองคาย หรือด่านสุวรรณภูมิ หรือด่านดอนเมืองหรือด่านอื่นก็ตาม ดีเอสไอจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายของ พศ.ไปปฎิบัติการร่วมกับดีเอสไอเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการสึกจากสมณเพศ ซึ่งดีเอสไอจะไม่ก้าวล่วงจะสึกไม่สึกเพราะไม่ใช่หน้าที่แต่จะให้ พศ.ดำเนินการว่ากันเอง ส่วนดีเอสไอจะรับมอบตัว แจ้งข้อหา พิมพ์นิ้วมือ และปล่อยตัวชั่วคราวซึ่งมีหลักให้ปล่อยตัวหากผู้ถูกกล่าวหาเข้ามอบตัวพร้อมกำหนดหลักทรัพย์ที่เหมาะสมตามแนวปฎิบัติของศาลอาญาตามที่ประธานศาลฎีกาได้กำหนดไว้
ล่าสุด กองปราบปราม นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความของอดีตเณรคำ เพียงแต่มีการประสานทางโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือและปรึกษาข้อกฎหมายในการต่อสู้คดีเท่านั้น ซึ่งจากการประสานงานกับทางดีเอสไอ ก็แจ้งมาแล้วว่าหลักทรัพย์ที่ต้องใช้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ศาลกำหนด โดยต้องใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามอัตราโทษ พร้อมกำหนดเงื่อนไขพิเศษไว้ 4 ข้อ คือ 1.ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ 2.ห้ามยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน 3.ห้ามทำอะไรที่เป็นการขัดขวางการสอบสวนดำเนินคดี และ 4.ต้องเข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนทุก 15 วัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ซึ่งไม่แน่ใจว่าปลายสาย คือ อดีตเณรคำ จริงหรือไม่ บอกกับตนมาว่า จะยังไม่เข้ามอบตัวกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 8 ส..ค เนื่องจากมีอาการป่วย และยังอยู่ระหว่างเตรียมหลักทรัพย์ด้วย นอกจากนี้ตนก็ไม่ทราบว่าอดีตเณรคำ อยู่ที่ชายแดนด้านไหนของประเทศ และจะเดินทางเข้าประเทศไทย ผ่านทาง จ.หนองคาย หรือไม่ จึงเป็นเพียงการคาดการณ์ตามที่มีการประสานไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น ซึ่งทันทีที่ตนทราบได้ประสานกับทางดีเอสไอ แล้ว
วานนี้ ( 6 ส.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีเอสไอ แถลงหลังการประชุมร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อหารือแนวทางป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ปฎิบัติในทางไม่เหมาะสมว่า ผอ.พศ.และตนพร้อมคณะทำงานของดีเอสไอ ได้ประชุมหารือโดยยกกรณีอดีตพระเณรคำโมเดล เป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ แนวปฎิบัติ การกำกับตรวจสอบควบคุมให้สงฆ์ ที่ปฎิบัติไม่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนี้อีก ได้นำกรณีศึกษาพูดกันหลายเรื่อง ดีเอสไอได้นำเรื่องอดีตพระเณรคำ และเรื่องเสี่ยอู๊ด ที่เคยถูกดีเอสไอดำเนินคดีกรณีสร้างพระเข้าหารือ เบื้องต้นได้ข้อสรุปว่า จะจัดสัมมนาระดับประเทศโดยมี พศ.และดีเอสไอเป็นเจ้าภาพ หาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขข้อปฎิบัติต่างๆ เกี่ยวกับสงฆ์ ที่ปฎิบัติไม่เหมาะสม มีจุดประสงค์หลักเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ
“ดีเอสไอจะเชิญ 14 หน่วยงานมาหารือ ประกอบด้วย พศ.มหาเถระสมาคม ดีเอสไอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กระทรวงการต่างประเทศ(กรมการกงศุล) กรมป่าไม้ กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมโยธาธิการ สปปง ปปส กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมสรรพกร กระทรวงไอซีที และภาคสื่อมวลชนและประชน โดยจะร่วมทำงานอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลในภาพร่วม ไม่จบคดีอดีตพระเณรคำแล้วก็ลืมไป” นายธาริต กล่าว
ด้านอธิบดีดีเอสไอ กล่าวอีกว่า ส่วนการติดต่อเข้ามอบตัวของอดีตพระเณรคำ ทางทนายความได้ยืนยันว่าอดีตพระเณรคำจะเข้ามอบตัวในวันพฤหัสฯ ที่ 8 ส.ค.แต่ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่ชัดเจนว่ามีการสึกจากสมณเพศหรือยัง ถ้าสึกแล้วก็ไม่มีปัญหาถ้ายังไม่สึกตนได้ประชุมร่วมกับคณะพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ และ พศ.สรุปว่าการให้สึกไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของดีเอสไอแต่เป็นอำนาจหน้าที่ของ พศ.ดังนั้นเพื่อให้เกิดความพร้อมในการปฎิบัติในวันที่มีการนัดหมายวันเวลารับมอบตัวชัดเจนที่ด่านไม่ว่าจะเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของหนองคาย หรือด่านสุวรรณภูมิ หรือด่านดอนเมืองหรือด่านอื่นก็ตาม ดีเอสไอจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายของ พศ.ไปปฎิบัติการร่วมกับดีเอสไอเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการสึกจากสมณเพศ ซึ่งดีเอสไอจะไม่ก้าวล่วงจะสึกไม่สึกเพราะไม่ใช่หน้าที่แต่จะให้ พศ.ดำเนินการว่ากันเอง ส่วนดีเอสไอจะรับมอบตัว แจ้งข้อหา พิมพ์นิ้วมือ และปล่อยตัวชั่วคราวซึ่งมีหลักให้ปล่อยตัวหากผู้ถูกกล่าวหาเข้ามอบตัวพร้อมกำหนดหลักทรัพย์ที่เหมาะสมตามแนวปฎิบัติของศาลอาญาตามที่ประธานศาลฎีกาได้กำหนดไว้
ล่าสุด กองปราบปราม นายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความ กล่าวว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายความของอดีตเณรคำ เพียงแต่มีการประสานทางโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือและปรึกษาข้อกฎหมายในการต่อสู้คดีเท่านั้น ซึ่งจากการประสานงานกับทางดีเอสไอ ก็แจ้งมาแล้วว่าหลักทรัพย์ที่ต้องใช้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ศาลกำหนด โดยต้องใช้หลักทรัพย์ 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามอัตราโทษ พร้อมกำหนดเงื่อนไขพิเศษไว้ 4 ข้อ คือ 1.ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ 2.ห้ามยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน 3.ห้ามทำอะไรที่เป็นการขัดขวางการสอบสวนดำเนินคดี และ 4.ต้องเข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวนทุก 15 วัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์ซึ่งไม่แน่ใจว่าปลายสาย คือ อดีตเณรคำ จริงหรือไม่ บอกกับตนมาว่า จะยังไม่เข้ามอบตัวกับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 8 ส..ค เนื่องจากมีอาการป่วย และยังอยู่ระหว่างเตรียมหลักทรัพย์ด้วย นอกจากนี้ตนก็ไม่ทราบว่าอดีตเณรคำ อยู่ที่ชายแดนด้านไหนของประเทศ และจะเดินทางเข้าประเทศไทย ผ่านทาง จ.หนองคาย หรือไม่ จึงเป็นเพียงการคาดการณ์ตามที่มีการประสานไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น ซึ่งทันทีที่ตนทราบได้ประสานกับทางดีเอสไอ แล้ว