xs
xsm
sm
md
lg

ลี&ฟุงเพิ่มโอนเบรนด์ขยายโออีเอ็มรับเออีซี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ลีแอนด์ฟุง” แย้มแผน เพิ่มกำลังผลิตโออีเอ็มรับเออีซี พร้อมสยายปีกนำเข้าแบรนด์ตัวเองรุกตลาดมากขึ้นในอนาคต แต่ยันธุรกิจหลักยังรับจัดจำหน่ายเหมือนเดิม ล่าสุดส่ง 2 แบรนด์เข้าทำตลาด และคว้าอีก 2ไลเซ่นส์นาฬิกา
         
         นายมาริโอ้ ซัลวาโทรี รองประธานกรรมการอาวุโส ประจำประเทศไทย และภูมิภาคอินโดจีน บริษัท แอลเอฟ เอเซีย ประเทศไทย จำกัด ในเครือลีแอนด์ฟุง หรือแอลเอฟ/LF เปิดเผยว่า นโยบายระยะยาว 3 ปีจากนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจในส่วนของการนำเสนอสิค้าที่เป็นแบรนด์ของบริษัทลีแอนด์ฟุงเองเข้ามาทำตลาดในไทยเพิ่มขึ้น (Own Brand) จากปัจจุบันที่เริ่มทำบ้างแล้ว เช่น แบรนด์ ”Collection” เป็นเครื่องสำอางค์ที่เริ่มจำหน่ายแล้วในร้านวัตสันและบู๊ทส์ และบรนด์ ”WAUGH” คืออาหารสำเร็จรูปผงกะหรี่ มีขายที่เทสโก้โลตัสบ้างแล้ว และอื่นๆ 
แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักของบริษัทในไทยก็ยังคงโฟกัสไปที่การเป็นบริษัทดิสทริบิวชั่นหรือจัดจำหน่ายในไทยให้กับสินค้าของพันธมิตร ตามธุรกิจหลักของลีแอนด์ฟุง ที่มี 4 กลุ่มธุรกิจคือ 1.การรับผลิตสินค้าแบบโออีเอ็ม 2.การทำธุรกิจนำเข้าและส่งออกสินค้า 3.การรับกระจายสินค้า และ 4.การจัดหาแหล่งวัตถุดิบในการผลิตและการรับจ้างผลิต 
         
         ปัจจุบันมีสินค้าที่รับจัดจำหน่ายและทำตลาดทั้งไลเซ่นส์แบรนด์และแบรนด์ของบริษัทรวมมากกว่า 100 แบรนด์ ใน 4 กลุ่มธุรกิจคือ อาหาร เครื่องสำอางค์ สุขภาพและสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยจะนำความเชี่ยวชาญจากบริษัทแม่ รวมทั้งเทคโนโลยีมาช่วยเสริมให้กับคู่ค้าของบริษัท

นอกจากนั้นยังมีแผนเตรียมลงทุนเพื่อความพร้อมในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2556 หรือเออีซีอีกด้วย ในการรองรับการขยายกำลังการผลิตให้กับสินค้าต่างๆรูปแบบโออีเอ็ม ซึ่งปัจจุบันก็มีการผลิตให้กับสินค้าในเครือรายใหญ่จำนวนมากเช่น พีแอนด์จี เนสท์เล่ ยูนิลีเวอร์ เป็นต้น 
         
         นายมาริโอ้กล่าวด้วยว่า ลีแอนด์ฟุงกรุ๊ปมีรายได้รวมทั่วโลก 23,000 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตลาดเอเซียมีรายได้รวมเติบโตเป็นเลขสองหลัก โดยมีรายได้หลักมาจากประเทศจีนและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีประเทศไทยเป็นตลาดหลักและแข็งแรงที่สุดของบริษัท แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นปัจจัยลบหลายครั้งแต่ในที่สุดเมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็กลับมาดีเหมือนเดิม 
         
         ล่าสุดบริษัทฯได้ขยายธุรกิจการจัดจำหน่ายนาฬิกา โดยได้ไลเซ่นส์เพิ่มอีก 2 แบรนด์คือ BRAUN จากเยอรมัน และแบรนด์ INGERSOLL จากอเมริกา ทำให้ปัจจุบันบริษัทฯมีนาฬิกาจัดจำหน่ายรวม 10 แบรนด์แล้ว โดยส่วนใหญ่จะจับตลาดกลุ่มระดับกลาง ราคาหลักพันถึงหลักหมื่นกว่าบาท ซึ่งเป็นตลาดใหญ่และไม่ค่อยจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก          
         แผนปีนี้ของทั้งสองแบรนด์จะทำการเปิดจุดจำหน่ายที่อยู่ในเคาน์เตอร์นาฬิกาของห้างรวมกว่า 30 จุดขาย จากปัจจุบันที่มี 5 จุดขายที่เพิ่งเริ่มจำหน่ายเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว โดยสองแบรนด์นี้ได้รับสิทธิ์เฉพาะในไทยเท่านั้น ขณะที่ทั้ง 10 แบรนด์ที่จำนหน่ายอยู่นี้ มีจุดจำหน่ายรวมมากกว่า 140 เคาน์เตอร์ในห้างซึ่งมีแผนที่จะเปิดเป็นร้านมัลติแบรนด์ด้วยเพื่อรวมทุกแบรนด์ที่บริษัทรับจัดจำหน่าย ทั้งนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้จากนาฬิกาทั้งหมด จะเติบโต 35-40% จากเดิมเฉลี่ยเติบโต 20% มาตลอด และครึ่งปีแรกนี้เติบโตแล้ว 30% 
         
         “ตลาดนาฬิกาในเมืองไทยยังมีศักยภาพและเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะมาจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.นักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยมาก เพราะไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการชอปปิ้ง อันดับที่ 5 ของโลก ทำให้สินค้าอย่างนาฬิกามียอดขายที่ดีด้วย ซึ่งตัวเลขจากคิงเพาเวอร์พบว่า เมื่อปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเฉพาะจีนอย่างเดียวลงทะเบียนมากกว่า 1 ล้านคน ส่วนปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น
1.7 ล้านคน ซึ่งมีกำลังซื้อทั้งสิ้น 2.ระดับนาฬิกาที่บริษัทฯจำหน่าย อยู่ในระดับกลางจึงง่ายต่อการทำตลาด 3.ห้างสรรพสินค้ามีการแข่งขันกันสูงจัดทำโปรโมชั่นตลอด ส่งผลให้ดึงดูดกำลังซื้อได้ตลอดเวลา” นายมาริโอ้กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น