ASTVผู้จัดการรายวัน-พันธมิตรฯ มีมติไม่ร่วมชุมนุมค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เหตุถูกจำกัดด้วยคำสั่งศาล ผลพวงจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ยัดข้อหาอันเป็นเท็จ "ลุงจำลอง"แนะรัฐถอนร่างพ.ร.บ. ด้าน "สนธิ"ชี้ถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องลุกขึ้นสู้
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงผลการหารือของแกนนำ ว่า พันธมิตรฯ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ไม่เคลื่อนไหวมวลชนด้วยการชุมนุมในช่วงเวลานี้ เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้ง โดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ แม้พันธมิตรฯ พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ.973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2566 ว่า "ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"
และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าว และเป็นข้อจำกัดจนไม่สามารถทำให้การชุมนุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสบผลสำเร็จได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน และวิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการคัดค้านเวลานี้ คือ รัฐบาลจะต้องถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมออกจากการพิจารณาในสภาฯ และยืนยันว่าช่วงนี้ จะไม่นำมวลชนออกมาเคลื่อนไหว
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า องค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ได้มาชักชวนให้ร่วมชุมนุมตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยหวังให้มีผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมาก เป็นเงื่อนไขให้ทหารออกมาปฏิวัติ ซึ่งวันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว ที่เหลือถือเป็นหน้าที่ของประชาชนในสังคมที่จะทำหน้าที่พลเมืองไทย หากกลุ่มใดคิดล้ม พ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วย
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำรุ่นที่ 2 และโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงผลการหารือของแกนนำ ว่า พันธมิตรฯ มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ไม่เคลื่อนไหวมวลชนด้วยการชุมนุมในช่วงเวลานี้ เนื่องจากแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชน ได้ถูกกลั่นแกล้ง โดยยัดเยียดข้อหาร้ายแรงอันเป็นเท็จ และเพิ่มผู้ต้องหาจำนวนถึง 96 คน อย่างอยุติธรรมในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการสร้างพันธนาการให้กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
ทั้งนี้ แม้พันธมิตรฯ พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ศาลอาญาได้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อ.973/2556 ให้ประกันตัวโดยมีเงื่อนไขตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2566 ว่า "ห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดภัยอันตรายต่อความเสียหายหรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล"
และศาลอาญาได้แถลงย้ำคำสั่งดังกล่าวอีกเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2556 ย่อมแสดงให้เห็นว่า แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ปราศรัย พิธีกร ศิลปิน และประชาชนอีกจำนวนมากได้ถูกลิดรอนสิทธิจากคำสั่งดังกล่าว และเป็นข้อจำกัดจนไม่สามารถทำให้การชุมนุมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสบผลสำเร็จได้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน และวิธีการชุมนุมภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวก็ยังไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้ในขณะนี้
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการคัดค้านเวลานี้ คือ รัฐบาลจะต้องถอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมออกจากการพิจารณาในสภาฯ และยืนยันว่าช่วงนี้ จะไม่นำมวลชนออกมาเคลื่อนไหว
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า องค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ได้มาชักชวนให้ร่วมชุมนุมตั้งแต่การชุมนุมเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยหวังให้มีผู้ชุมนุมเป็นจำนวนมาก เป็นเงื่อนไขให้ทหารออกมาปฏิวัติ ซึ่งวันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว ที่เหลือถือเป็นหน้าที่ของประชาชนในสังคมที่จะทำหน้าที่พลเมืองไทย หากกลุ่มใดคิดล้ม พ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วย
