ASTVผู้จัดการรายวัน - ครม.ไฟเขียวปรับปรุงบัญชีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คณะบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญเป็นฉบับเดียวกัน ยอมแลกฉุดรายได้ภาษี 2.5 หมื่นล้าน กับผลดีต่อเศรษฐกิจและฐานภาษีในระยะยาว แข่งขันกับต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้นและรองรับ AEC
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) ให้รวมการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาและการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคลเป็นฉบับเดียวกัน จากเดิมที่แยกดำเนินการ เนื่องจาก กระทรวงการคลัง เห็นว่า ไม่สามารรถแยกออกจากกันได้และกระทบการปรับโครงสร้างของระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาพรวมไม่สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจะส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า อัตราภาษีเงินได้ใหม่ของบุคคลธรรมดา ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่น บุคคลธรรมดารายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี เสียภาษี 5% บุคคลธรรมดารายได้ 300,000-500,000 บาทต่อปี เสียภาษี 10% บุคคลธรรมดารายได้ 500,000-750,000 บาทต่อปี เสียภาษี 15% , บุคคลธรรมดารายได้ 750,000-1,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 20% ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญ ให้เสียภาษีเงินได้สุทธิ 20% และคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ให้เสียภาษีเงินได้พึงประเมิน 20% โดยให้มีผลบังคับใช้ส่วนเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2556 ที่ต้องยื่นรายการในปี 2557
นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง กล่าวว่า การปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี รวมทั้งทำให้ระบบภาษีมีความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนั้น การปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเป็นการป้องกันการใช้ช่องว่างของกฎหมายในการกระจายฐานภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการนี้มีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากรประมาณ 25,000 ล้านบาท แต่จะทำให้รายได้สุทธิของผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้น อันจะช่วยกระตุ้นการบริโภค ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและฐานภาษีในระยะยาว รวมทั้งทำให้อัตราภาษีของไทยเป็นที่จูงใจและแข่งขันกับต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น รองรับการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน.
นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) ให้รวมการปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาและการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคลเป็นฉบับเดียวกัน จากเดิมที่แยกดำเนินการ เนื่องจาก กระทรวงการคลัง เห็นว่า ไม่สามารรถแยกออกจากกันได้และกระทบการปรับโครงสร้างของระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภาพรวมไม่สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นจะส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า อัตราภาษีเงินได้ใหม่ของบุคคลธรรมดา ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้วก่อนหน้านี้ เช่น บุคคลธรรมดารายได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี เสียภาษี 5% บุคคลธรรมดารายได้ 300,000-500,000 บาทต่อปี เสียภาษี 10% บุคคลธรรมดารายได้ 500,000-750,000 บาทต่อปี เสียภาษี 15% , บุคคลธรรมดารายได้ 750,000-1,000,000 บาทต่อปี เสียภาษี 20% ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญ ให้เสียภาษีเงินได้สุทธิ 20% และคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ให้เสียภาษีเงินได้พึงประเมิน 20% โดยให้มีผลบังคับใช้ส่วนเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2556 ที่ต้องยื่นรายการในปี 2557
นางเบญจา หลุยเจริญ รมช.คลัง กล่าวว่า การปรับปรุงบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดาเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้เสียภาษี รวมทั้งทำให้ระบบภาษีมีความสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนั้น การปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเป็นการป้องกันการใช้ช่องว่างของกฎหมายในการกระจายฐานภาษีเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า มาตรการนี้มีผลกระทบต่อรายได้ภาษีอากรประมาณ 25,000 ล้านบาท แต่จะทำให้รายได้สุทธิของผู้เสียภาษีเพิ่มขึ้น อันจะช่วยกระตุ้นการบริโภค ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและฐานภาษีในระยะยาว รวมทั้งทำให้อัตราภาษีของไทยเป็นที่จูงใจและแข่งขันกับต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น รองรับการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน.
