เศรษฐกิจครึ่งหลังปี 56 มีแนวโน้มชะลอตัว คลังเล็งปรับลดจีดีพีโตต่ำกว่า 4.0% หลังพบสัญญาณการลงทุน-การบริโภคหล่นวูบ เหลือเพียงการใช้จ่ายภาครัฐช่วยพยุง ระบุทำงบกลางปีอาจไม่ทันการณ์
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนและไตรมาส 2 ของปีนี้ว่า จากเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ พบเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยไตรมาส 2 เดิมคาดว่าน่าจะขยายตัวได้ 4% แต่เครื่องชี้วัดสะท้อนตัวเลขออกมาต่ำกว่า 4%แล้ว ซึ่งคงต้องรอตัวเลขทางการจากทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในเดือนสิงหาคมนี้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกทำให้ สศค.ก็เตรียมจะทบทวนและปรับประมาณการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ใหม่อีกครั้งเดือนก.ย.นี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปรับลดไปทางตัวเลขคาดการณ์ต่ำสุดแทนจากขณะนี้ประเมินไว้ที่ 4.5% มีช่วงคาดการณ์ 4-5% ก็อาจจะเหลือขยายตัวเพียง 4%
“ยอมรับว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 มีสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจนทั้งการใช้จ่ายในประเทศและการลงทุน โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งสินค้าคงทน สินค้าทั่วไป การนำเข้าเครื่องจักรลดลงมาก ที่สำคัญการส่งออกชะลอตัวลงอย่างรุนแรก ครึ่งปีขยายตัวเพียง 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 5.5%จึงน่าจะเป็นไปได้ยากและคงต้องปรับประมาณการณ์ ใหม่เช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่การส่งอกลดลงมากมาจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด โดยเฉพาะตลาดจีนติดลบถึง 16.7% ญี่ปุ่น ลบ11.9% สหรัฐติดลบ 9.4%” นายเอกนิติกล่าว
นอกจากนี้ยังดูได้จากการบริโภคที่ลดลงอย่างชัดเจนในเดือนมิ.ย. ทั้งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลง 2.6% การจำหน่ายรถยนต์นั่งติดลบ 17.7% รถจักรยานยนต์ติดลบ 10.8% แต่ขณะนี้ยังโชคดีมีการใช้จ่ายภาครัฐและการท่องเที่ยวเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยล่าสุดมีการเบิกจ่ายไปแล้ว 63.9% จากทั้งปีที่ตั้งไว้ 94% โดยยังเหลือกระสุนที่จะเบิกจ่ายได้อีก 6 แสนล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ และหากมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 อีกส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ก็น่าจะเป็นแรงกระตุ้นอีกส่วนหนึ่ง โดยสศค.ไม่ได้นำการเบิกจ่ายงบลงทุน 2 ล้านล้านบาทมาคำนวณไว้เพราะมองว่ายังมีความไม่แน่นอนสูง ส่วยงบการลงทุนบริหารจัดการน้ำคาดจะมีการเบิกจ่ายประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนความจำเป็นในการจัดทำงบกลางปีนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่ขณะนี้ยังไม่มีการสั่งการมาและอาจจะเหลือระยะเวลาน้อยเกินไปแค่ 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่ความเสี่ยงทางการเมืองก็ยังมองว่าไม่มีอะไรรุนแรงจนกระทบความเชื่อมั่น.
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจเดือนมิถุนายนและไตรมาส 2 ของปีนี้ว่า จากเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ พบเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณการชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยไตรมาส 2 เดิมคาดว่าน่าจะขยายตัวได้ 4% แต่เครื่องชี้วัดสะท้อนตัวเลขออกมาต่ำกว่า 4%แล้ว ซึ่งคงต้องรอตัวเลขทางการจากทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในเดือนสิงหาคมนี้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกทำให้ สศค.ก็เตรียมจะทบทวนและปรับประมาณการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ใหม่อีกครั้งเดือนก.ย.นี้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะปรับลดไปทางตัวเลขคาดการณ์ต่ำสุดแทนจากขณะนี้ประเมินไว้ที่ 4.5% มีช่วงคาดการณ์ 4-5% ก็อาจจะเหลือขยายตัวเพียง 4%
“ยอมรับว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 มีสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจนทั้งการใช้จ่ายในประเทศและการลงทุน โดยเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ทั้งสินค้าคงทน สินค้าทั่วไป การนำเข้าเครื่องจักรลดลงมาก ที่สำคัญการส่งออกชะลอตัวลงอย่างรุนแรก ครึ่งปีขยายตัวเพียง 1% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปี 5.5%จึงน่าจะเป็นไปได้ยากและคงต้องปรับประมาณการณ์ ใหม่เช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่การส่งอกลดลงมากมาจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลงกว่าที่คาด โดยเฉพาะตลาดจีนติดลบถึง 16.7% ญี่ปุ่น ลบ11.9% สหรัฐติดลบ 9.4%” นายเอกนิติกล่าว
นอกจากนี้ยังดูได้จากการบริโภคที่ลดลงอย่างชัดเจนในเดือนมิ.ย. ทั้งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดลง 2.6% การจำหน่ายรถยนต์นั่งติดลบ 17.7% รถจักรยานยนต์ติดลบ 10.8% แต่ขณะนี้ยังโชคดีมีการใช้จ่ายภาครัฐและการท่องเที่ยวเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยล่าสุดมีการเบิกจ่ายไปแล้ว 63.9% จากทั้งปีที่ตั้งไว้ 94% โดยยังเหลือกระสุนที่จะเบิกจ่ายได้อีก 6 แสนล้านบาทในเดือนก.ย.นี้ และหากมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 อีกส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ก็น่าจะเป็นแรงกระตุ้นอีกส่วนหนึ่ง โดยสศค.ไม่ได้นำการเบิกจ่ายงบลงทุน 2 ล้านล้านบาทมาคำนวณไว้เพราะมองว่ายังมีความไม่แน่นอนสูง ส่วยงบการลงทุนบริหารจัดการน้ำคาดจะมีการเบิกจ่ายประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนความจำเป็นในการจัดทำงบกลางปีนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล แต่ขณะนี้ยังไม่มีการสั่งการมาและอาจจะเหลือระยะเวลาน้อยเกินไปแค่ 3 เดือนเท่านั้น ขณะที่ความเสี่ยงทางการเมืองก็ยังมองว่าไม่มีอะไรรุนแรงจนกระทบความเชื่อมั่น.