รายงานข่าวจากกองทัพอากาศระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้มอบหมายให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. ดูแลเรื่องการจัดซื้อเครื่องบินสำหรับบุคคลสำคัญจำนวน 4 ลำและดูแลเครื่องบิน โดยเป็นงบประมาณปี 2557 ที่สำนักนายกฯได้เสนอในงบประมาณปีนี้
ทั้งนี้มีการจำแนกว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอขอซื้อเครื่องบิน รวม 4 เครื่อง ดังนี้
1.มีการซื้อเครื่องบินพระราชพาหนะสำรอง จำนวน 1 เครื่อง งบประมาณ 3,779 ล้านบาทที่จะถวายเป็นเครื่องบินพระที่นั่ง ผูกพันงบประมาณปี 2557-2559 (3,779,023,000 บาท)
2. เสนอซื้อ เครื่องบิน รับ-ส่ง บุคคลสำคัญ จำนวน 1 เครื่อง พร้อมโรงเก็บเครื่องบิน งบประมาณ 3,435 ล้านบาท (โดย เป็นงบประมาณปี2556-2558 รวม 3,435,800,000 บาท ตั้งงบประมาณ ปี 2556 จำนวน 687,160,000 บาท ตั้งงบประมาณ ปี2557 จำนวน 1,339,425,000บาท ผูกพันงบประมาณปี 2558 จำนวน 1,409,215,000 บาท)
3.เสนอซื้อเครื่องบิน รับส่ง บุคคลสำคัญ 2 เครื่อง งบประมาณ 2,991 ล้านบาท (งบประมาณปี 2557-2559 รวม 2,991,677,400 บาท โดยปี 2557 ตั้งงบประมาณ 448,751,600 บาท ปี2558 ผูกพันงบประมาณ จำนวน 1,212,600,000 บาท และ ปี 2559 ผูกพันงบประมาณ 1,330,325,800 บาท)
ทั้งนี้การจัดซื้อเครื่องบินอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาคัดเลือกของ ทอ. ซึ่งตามหลักการจะเลือกแบบที่มีการใช้อยู่แล้ว เพื่อความสะดกในเรื่องการดูแลและส่งกำลังบำรุง ที่อาจจะเป็น เครื่องบิน แอร์บัส 320 หรือขนาดใกล้เคียง
อย่างไรก็ตามเครื่องบินสำหรับบุคคลสำคัญ (ไม่เกี่ยวกับเครื่องบินพระราชพาหนะ) ที่ซื้อมานี้สามารถทำเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือ ที่เรียกกันว่า Airforce One ได้ ส่วนอีกหนึ่งลำก็เป็นเครื่องสำหรับบุคคลสำคัญ เช่นคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี
ปัจจุบันไม่มีเครื่องบินที่ใช้เป็นเครื่อง AirForce One โดยที่ผ่านมา นายกฯจะใช้การเช่าเหมาลำ เครื่องบินของการบินไทยในการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งใช้งบประมาณแต่ละครั้งสูงเป็นหลักสิบล้าน จึงต้องมีการเตรียมเครื่องบินไว้ใช้งาน
อย่างไรก็ตามสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ระบุว่า เครื่องบินที่จะจัดซื้อใหม่นี้เป็นเครื่องบินประจำตัวนายกรัฐมนตรี เพราะสามารถให้ใครก็ได้ทั้ง รัฐมนตรี หรือบุคคลสำคัญใช้งานได้
ทั้งนี้กองทัพอากาศจะเป็นผู้ดูแลเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ทั้งการเลือกแบบการดุแลเครื่องบิน การสร้างโรงเก็บเครื่องบิน และการจัดหาคัดเลือกนักบินของกองทัพอากาศ คาดว่าการจัดหาเครื่องบินน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วานนี้(28 ก.ค.56)เวลา 08.15 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม ได้ออกเดินทางเยือนประเทศแถบทวีปแอฟริกา 3 ประเทศในระหว่างวันที่ 28 ก.ค.- 2 ส.ค. ได้แก่ สาธารณรัฐโมซัมบิก สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และสาธารณรัฐยูกันดา
โดยนายกฯมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายอาร์มันโด เอมิลิโอ กูเอบูชา ประธานาธิบดีโมซัมบิก การลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจ 5 ฉบับ การหารือกับประธานรัฐสภาโมซัมบิก และพิธีส่งมอบรถบรรทุก รถตุ๊กตุ๊ก ปลานิลแดง และมุ้งเคลือบสารกันยุงให้แก่โมซัมบิก ต่อด้วยการเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้าหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแทนซาเนีย และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับ และกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ไทยต่อแอฟริกาและ Thai - African Initiative และการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติ
ต่อด้วยการเยือนสาธารณรัฐยูกันดา โดยนายกฯจะนำภาคเอกชนไทยจะเข้าให้ความรู้ในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ อาทิ การเกษตรกรรม การประมง และสาธารณสุข รวมถึง การเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน เพื่อเป็นพื้นฐานในความร่วมมือระหว่างกัน
ทั้งนี้มีการจำแนกว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เสนอขอซื้อเครื่องบิน รวม 4 เครื่อง ดังนี้
1.มีการซื้อเครื่องบินพระราชพาหนะสำรอง จำนวน 1 เครื่อง งบประมาณ 3,779 ล้านบาทที่จะถวายเป็นเครื่องบินพระที่นั่ง ผูกพันงบประมาณปี 2557-2559 (3,779,023,000 บาท)
2. เสนอซื้อ เครื่องบิน รับ-ส่ง บุคคลสำคัญ จำนวน 1 เครื่อง พร้อมโรงเก็บเครื่องบิน งบประมาณ 3,435 ล้านบาท (โดย เป็นงบประมาณปี2556-2558 รวม 3,435,800,000 บาท ตั้งงบประมาณ ปี 2556 จำนวน 687,160,000 บาท ตั้งงบประมาณ ปี2557 จำนวน 1,339,425,000บาท ผูกพันงบประมาณปี 2558 จำนวน 1,409,215,000 บาท)
3.เสนอซื้อเครื่องบิน รับส่ง บุคคลสำคัญ 2 เครื่อง งบประมาณ 2,991 ล้านบาท (งบประมาณปี 2557-2559 รวม 2,991,677,400 บาท โดยปี 2557 ตั้งงบประมาณ 448,751,600 บาท ปี2558 ผูกพันงบประมาณ จำนวน 1,212,600,000 บาท และ ปี 2559 ผูกพันงบประมาณ 1,330,325,800 บาท)
ทั้งนี้การจัดซื้อเครื่องบินอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาคัดเลือกของ ทอ. ซึ่งตามหลักการจะเลือกแบบที่มีการใช้อยู่แล้ว เพื่อความสะดกในเรื่องการดูแลและส่งกำลังบำรุง ที่อาจจะเป็น เครื่องบิน แอร์บัส 320 หรือขนาดใกล้เคียง
อย่างไรก็ตามเครื่องบินสำหรับบุคคลสำคัญ (ไม่เกี่ยวกับเครื่องบินพระราชพาหนะ) ที่ซื้อมานี้สามารถทำเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือ ที่เรียกกันว่า Airforce One ได้ ส่วนอีกหนึ่งลำก็เป็นเครื่องสำหรับบุคคลสำคัญ เช่นคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี
ปัจจุบันไม่มีเครื่องบินที่ใช้เป็นเครื่อง AirForce One โดยที่ผ่านมา นายกฯจะใช้การเช่าเหมาลำ เครื่องบินของการบินไทยในการเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งใช้งบประมาณแต่ละครั้งสูงเป็นหลักสิบล้าน จึงต้องมีการเตรียมเครื่องบินไว้ใช้งาน
อย่างไรก็ตามสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ระบุว่า เครื่องบินที่จะจัดซื้อใหม่นี้เป็นเครื่องบินประจำตัวนายกรัฐมนตรี เพราะสามารถให้ใครก็ได้ทั้ง รัฐมนตรี หรือบุคคลสำคัญใช้งานได้
ทั้งนี้กองทัพอากาศจะเป็นผู้ดูแลเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ทั้งการเลือกแบบการดุแลเครื่องบิน การสร้างโรงเก็บเครื่องบิน และการจัดหาคัดเลือกนักบินของกองทัพอากาศ คาดว่าการจัดหาเครื่องบินน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ วานนี้(28 ก.ค.56)เวลา 08.15 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม ได้ออกเดินทางเยือนประเทศแถบทวีปแอฟริกา 3 ประเทศในระหว่างวันที่ 28 ก.ค.- 2 ส.ค. ได้แก่ สาธารณรัฐโมซัมบิก สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย และสาธารณรัฐยูกันดา
โดยนายกฯมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับนายอาร์มันโด เอมิลิโอ กูเอบูชา ประธานาธิบดีโมซัมบิก การลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจ 5 ฉบับ การหารือกับประธานรัฐสภาโมซัมบิก และพิธีส่งมอบรถบรรทุก รถตุ๊กตุ๊ก ปลานิลแดง และมุ้งเคลือบสารกันยุงให้แก่โมซัมบิก ต่อด้วยการเยือนสหสาธารณรัฐแทนซาเนีย ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเข้าหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแทนซาเนีย และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงและบันทึกความเข้าใจ 2 ฉบับ และกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ไทยต่อแอฟริกาและ Thai - African Initiative และการเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติ
ต่อด้วยการเยือนสาธารณรัฐยูกันดา โดยนายกฯจะนำภาคเอกชนไทยจะเข้าให้ความรู้ในสาขาที่ไทยเชี่ยวชาญ อาทิ การเกษตรกรรม การประมง และสาธารณสุข รวมถึง การเสริมสร้างความร่วมมือทางการค้า เศรษฐกิจ และการลงทุน เพื่อเป็นพื้นฐานในความร่วมมือระหว่างกัน
