ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง "สนธิ ลิ้มทองกุล" พร้อม แกนนำ พธม. ไม่หมิ่นประมาท "ทักษิณ"ลุแก่อำนาจใช้อำนาจเผด็จการระบบทุนนิยมสามานย์ ใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม ปี 51 ชี้เป็นบุคคลสาธารณะมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์เพื่อความชอบธรรมในสังคม!
วานนี้ (25 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้เขียนคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1639/2555 ,คดีหมายเลขแดงที่ 451/2556 คดีความอาญาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นจำเลยที่ 1 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นจำเลยที่ 2 นายพิภพ ธงไชย เป็นจำเลยที่ 3 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นจำเลยที่ 4 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นจำเลยที่ 5 นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นจำเลยที่ 6 และบริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เป็นจำเลยที่ 7 ในฐานความผิดหมิ่นประมาทนั้น
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึง 6 ได้ประกาศอ้างตนต่อประชาชนว่าเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่วนจำเลยที่ 7 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งคือประกอบกิจการผลิตรายการข่าวช่องนิวส์วัน ซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักรและต่างประเทศ สามารถรับชมภาพและเสียงได้ทางอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ที่สามารถเปิดแสดงข้อความความคิดเห็นได้ทั่วราชอาณายจักรและต่างประเทศด้วย
จำเลยทั้ง 7 โดยเจตนาทุจริตได้กระทำผิดต่อกฏหมายหลายกรรมต่างกัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1ถึง 6 ได้ร่วทมกันโฆษณาด้วยเอกสารและคำแถลงการณ์โดยนจำเลยที่ 6 เป็นผู้อ่านเอกสารชื่อว่า "แถลงกาารณ์ฉบับที่ 2/2551 พันธมิตรประชาบชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง กลียุคมาแล้ว" ต่อสื่อมวลชนทุกแขนง และจำเลยที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอดออกอากาศโฆษณาแถลงการณ์ดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ช่องนิวส์วัน ที่มีการเผยแพร่ให้ประชาชนทราวบโดยทั่วไป สาระสำคัญของแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมุ่งหมายใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป
โดยปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า "....มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการอย่างอุกอาจสำคัญ ๆ เช่น เลขาธิการองคค์การอาหารและยา (อย.) และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อย่างไร้เเหตุผลอันเป็นการกระทำการโยกย้ายใช้อำนาจแบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์อย่างโจ่งแจ้ง ดังที่เคยปรากฏมาแล้วเหมือนในอดีตในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่คุมอำนาจตัดสินใจสั่งการแต่ผู้เดียว ทำลายระบบคุณธรรม ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในการบริหาร สั่งราชการ และตัดสินใจในการดำเนินการใดๆ ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่ผู้เดียว..."
อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วจำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะอันเป็นวิสัยของประชาชนที่จะติชมด้วยความเป็นธรรมได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการอย่างไร้เหตุผล และโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนักกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ตลอดจนมีการพาดพิงไปถึงสถาบันสำคัญของประเทศว่าเป็นตัวการสำคัญอยู่เบื้องหลัง การที่จำเลยที่ 1 ถึง 6 ออกแถลงการณ์ตามคำแถลงการณ์เอกสารหมาย จ.4 ยังเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ แม้จะใช้คำเกินเลยไปบ้างก็ยังอยู่ในวิสัยอันเป็นปกติธรรมดาของการแสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึง 6 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฏหมายอาญา ม.329 (3) และจำเลยที่ 7 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น
วานนี้ (25 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้เขียนคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 1639/2555 ,คดีหมายเลขแดงที่ 451/2556 คดีความอาญาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นจำเลยที่ 1 นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นจำเลยที่ 2 นายพิภพ ธงไชย เป็นจำเลยที่ 3 นายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นจำเลยที่ 4 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นจำเลยที่ 5 นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นจำเลยที่ 6 และบริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด เป็นจำเลยที่ 7 ในฐานความผิดหมิ่นประมาทนั้น
โดยโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึง 6 ได้ประกาศอ้างตนต่อประชาชนว่าเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่วนจำเลยที่ 7 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งคือประกอบกิจการผลิตรายการข่าวช่องนิวส์วัน ซึ่งออกอากาศทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเผยแพร่ไปทั่วราชอาณาจักรและต่างประเทศ สามารถรับชมภาพและเสียงได้ทางอินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ที่สามารถเปิดแสดงข้อความความคิดเห็นได้ทั่วราชอาณายจักรและต่างประเทศด้วย
จำเลยทั้ง 7 โดยเจตนาทุจริตได้กระทำผิดต่อกฏหมายหลายกรรมต่างกัน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1ถึง 6 ได้ร่วทมกันโฆษณาด้วยเอกสารและคำแถลงการณ์โดยนจำเลยที่ 6 เป็นผู้อ่านเอกสารชื่อว่า "แถลงกาารณ์ฉบับที่ 2/2551 พันธมิตรประชาบชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง กลียุคมาแล้ว" ต่อสื่อมวลชนทุกแขนง และจำเลยที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอดออกอากาศโฆษณาแถลงการณ์ดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ช่องนิวส์วัน ที่มีการเผยแพร่ให้ประชาชนทราวบโดยทั่วไป สาระสำคัญของแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวมุ่งหมายใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป
โดยปรากฏอยู่ในแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า "....มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการอย่างอุกอาจสำคัญ ๆ เช่น เลขาธิการองคค์การอาหารและยา (อย.) และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อย่างไร้เเหตุผลอันเป็นการกระทำการโยกย้ายใช้อำนาจแบบเผด็จการทุนนิยมสามานย์อย่างโจ่งแจ้ง ดังที่เคยปรากฏมาแล้วเหมือนในอดีตในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่คุมอำนาจตัดสินใจสั่งการแต่ผู้เดียว ทำลายระบบคุณธรรม ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงในการบริหาร สั่งราชการ และตัดสินใจในการดำเนินการใดๆ ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรแต่ผู้เดียว..."
อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วจำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าโจทก์เป็นบุคคลสาธารณะอันเป็นวิสัยของประชาชนที่จะติชมด้วยความเป็นธรรมได้ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่า มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการอย่างไร้เหตุผล และโจทก์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนักกล่าววิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ตลอดจนมีการพาดพิงไปถึงสถาบันสำคัญของประเทศว่าเป็นตัวการสำคัญอยู่เบื้องหลัง การที่จำเลยที่ 1 ถึง 6 ออกแถลงการณ์ตามคำแถลงการณ์เอกสารหมาย จ.4 ยังเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริตติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ แม้จะใช้คำเกินเลยไปบ้างก็ยังอยู่ในวิสัยอันเป็นปกติธรรมดาของการแสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึง 6 จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฏหมายอาญา ม.329 (3) และจำเลยที่ 7 ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น